วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

วันแดงเดือดคืนนี้ ใครจะอยู่ใครจะไป




สำหรับคืนนี้ครับผมเป็นวันแดงเดือด ทำไหมถึงเรียกว่าแดงเดือดมีอะไรเรามาดูกันครับผม ข้อมูลจาก http://www.siamsport.co.th/column/111013_083.html ได้เขียนไว้ว่า    เกมแดงเดือดกำลังจะกลับมาเผดียงแข้งกันอีกครั้งในสุดสัปดาห์นี้ ก่อนจะไปร่ายถึงรายละเอียดเกมดังกล่าว เราลองมาย้อนกลับไปว่าถึงประวัติความเป็นมาของความแค้นระหว่าง 2 ทีมนี้กันสักเล็กน้อย 
 เชื่อว่าหลายคนคงจะไม่เคยทราบมาก่อนว่า ลิเวอร์พูล และแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เป็นเพียงแค่คู่อริลูกหนังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 
 หากเรามองย้อนมาที่หน้าประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม (คริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19) จะเห็นได้ว่าทั้งเมืองลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ต่างพยายามชิงดีชิงเด่นกันในฐานะเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองผู้ดีมาโดยตลอด 
 ลิเวอร์พูล จัดว่าเป็นเมืองท่าสำคัญอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งสะดวกต่อการติดต่อซื้อขายสินค้ากับต่างประเทศ กล่าวกันว่าในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั้น การค้าขายทางเรือกว่า 40% ของทั้งโลกต้องมาเทียบท่าที่เมอร์ซี่ย์ไซด์
 ในขณะที่แมนเชสเตอร์ เองก็ถือเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแห่งแรกและใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมทอฝ้ายที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในเวลานั้น จนได้รับการขนามนามว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญอันดับสองของอังกฤษรองจากมหานครลอนดอน
 อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจที่นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเป็นต้นตอของความบาดหมางระหว่างเมืองลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ คือการขุดลอก ''คลองเดินเรือแมนเชสเตอร์'' ซึ่งเปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการในปี 1894
 ในเวลานั้น แมนเชสเตอร์ กำลังเฟื่องฟูสุดขีดในด้านอุตสาหกรรมทอฝ้าย อย่างไรก็ตาม วัตถุดิบสำคัญอย่าง ฝ้ายดิบ นั้นต้องขนส่งผ่านทางเรือเท่านั้น แถมต้องเสียค่าธรรมเนียมมหาศาลให้กับท่าเรือลิเวอร์พูลโดยใช้เหตุอีกต่างหาก 

 
สภาเมืองแมนเชสเตอร์ จึงแก้เกมด้วยการขุดลอก ''คลองเดินเรือแมนเชสเตอร์'' ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่ทำให้เรือขนฝ้ายดิบสามารถล่องไปยังท่าเรือที่เมืองแมนเชสเตอร์ ได้โดยตรงและไม่ต้องจอดเทียบท่าเพื่อเสียภาษีปากเรือที่ เมอร์ซี่ย์ไซด์ อีกต่อไป

 
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ข้าราชการกรมเจ้าท่าชาวลิเวอร์พัดเลี่ยน ซึ่งเดิมทีมีรายได้หลักจากการเก็บค่าธรรมเนียมจากเรือสินค้าเข้าออก ต้องสูญรายได้มหาศาลและตกงานกันไปเป็นแถบๆ เลยทีเดียว

 
ชาวลุ่มน้ำเมอร์ซี่ย์ไซด์ ซึ่งต่างรู้สึกว่าพวกตนเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์ เนื่องจากไม่สามารถขูดเลือดขูดเนื้อเงินภาษีจากเพื่อนบ้านจากเมืองแมนเชสเตอร์ ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนแต่ก่อน จึงคิดวลีเด็ดซึ่งยังคงมีให้ได้ยินกันอยู่บ้างในเขตเมืองลิเวอร์พูล มาถากถางเพื่อนร่วมแคว้นที่อยู่ห่างกันแค่ 30 ไมล์ กว่าๆ ว่า

 
''ชนชั้นข้าราชการที่ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายจัดหาฝ้ายดิบมาให้ชนชั้นแรงงานที่แมนเชสเตอร์ได้มีงานทำ''
 นอกจากจะห้ำหั่นกันทางเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ชาวลิเวอร์พัดเลี่ยน และ ชาวแมนคูเนี่ยน ก็ยังชิงดีชิงเด่นกันจนเกิดกรณีพิพาททางลูกหนังอีกจนได้

 
เรื่องของเรื่องคือ ในช่วงทศวรรษที่ 60 ลิเวอร์พูล ในยุคของ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ และแมนฯยูไนเต็ด ของ แม็ตต์ บัสบี้ กำลังห้ำหั่นกันสูสีบนลีกสูงสุดเมืองผู้ดี โดยผลัดกันเป็นแชมป์กันอยู่แค่สองทีมระหว่างปี 1963-1967
 แชงค์ลี่ย์ พาลิเวอร์พูล เข้าป้ายในฐานะแชมป์ลีกเมื่อจบฤดูกาล 1963-64  โดยมีแต้มเหนือ ''ยูไนเต็ด'' ที่เข้าป้ายเป็นอันดับ 2 อยู่ 4 แต้ม แต่ในฤดูกาลถัดมา (1964-65 ) บัสบี้ ก็พา ''ปีศาจแดง'' เข้าวินเป็นแชมป์ลีกได้บ้าง
 ในอีกสองฤดูกาลถัดมาก็ยังเหมือนหนังม้วนเดิม เมื่อลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกไปก่อนในฤดูกาล 1965-1966 ก่อนแมนฯ ยูไนเต็ด จะตามติดมาเข้าป้ายเป็นที่ 1 อีกครั้ง ในฤดูกาล 1966-1967
 ดูเหมือนว่าทั้ง ''หงส์'' และ ''ผี'' จะกินกันไม่ลงสำหรับการแข่งขันระดับประเทศ เพราะในเวลานั้นทั้งคู่สะสมแชมป์ลีกสูงสุดเท่ากันพอดีที่ 7 สมัยเสียอย่างนั้น!

 
ความอาฆาตริษยาในความสำเร็จของทีมคู่อริของแฟนบอลทั้งสองทีมจึงเริ่มอุบัติและทวีความรุนแรงขึ้น!   
 ทว่าในปี 1968 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ปล่อยหมัดแย็บเข้าเต็มหน้า ลิเวอร์พูล เมื่อพลพรรค ''บัสบี้ เบ็บส์'' นำทัพ โดย บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ จอร์จี้ เบสท์ สามารถทำให้มหาชนชาวแมงค์ เชิดหน้าชูคอบนเวทีใหญ่ที่สุดของทวีปได้ก่อน เมื่อก้าวขึ้นไปเป็นทีมแรกจากอังกฤษที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ หลังจากอัดเบนฟิก้า ไป 4-1 ที่เวมบลีย์  

 
อย่างไรก็ตาม หลังจากโดนหมัดแย็บไปเต็มดอก ลิเวอร์พูลก็ปล่อยหมัดรัวใส่ยูไนเต็ด จนแทบลงไปกองกับพื้น! 

 
โดยเฉพาะช่วงทศวรรษที่ 70 และ 80 ยุคทองของชาว ''สเกาเซอร์ส'' ก็มาถึง เมื่อ ''หงส์แดง'' ภายใต้การคุมทัพของยอดกุนซือ ไล่ตั้งแต่ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ และ บ็อบ เพสลี่ย์ ไปจนถึง โจ เฟแกน สามารถสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจลูกหนังแห่งยุค กวาดแชมป์ลีกดิวิชั่น 1 ได้เรียบวุธ (11 สมัย) บวกแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพอีก 4 ครั้ง ในช่วงเวลาดังกล่าว

 
การจากไปค้าแข้งในต่างแดนของ เควิน คีแกน ในปี 1977 ไม่ได้ทำให้ แสนยานุภาพของลิเวอร์พูล ลดน้อยถอยลง แต่นั่นเสมือนการเปิดทางให้อีกหนึ่งตำนาน อย่าง เคนนี่ ดัลกลิช ได้เฉิดฉายที่แอนฟิลด์

 
เพสลี่ย์ ควักเงิน 4.4 แสนปอนด์ ให้เซลติก เพื่อเป็นค่าฉีกสัญญาของ ดัลกลิช และไอ้หนุ่มจากกลาสโกว์ ก็ตอบแทนลิเวอร์พูล คุ้มค่าทุกเพนนี ด้วยการทำไปทั้งสิ้น 118 ประตู ตลอดการค้าแข้ง 13 ปีกับ ''หงส์แดง'' และรวมถึงประตูโทนดับคลับ บรูช ทีมแกร่งจากเบลเยียม ในนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1978 ด้วย

 
สาวกสเกาต์เซอร์ต่างดื่มดำกับความสำเร็จเหนือคู่พิพาทจากเมืองเหนืออยู่ราวสองทศวรรษ จากผลงานแชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่น 1 เดิม) 18 สมัย ทำให้ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสหราชอาณาจักร ณ เวลานั้น 

 
สวนทางกับ ''ปีศาจแดง'' ที่จำนวนถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดยังหยุดนิ่งที่ 7 สมัย อีกทั้งหลังจากสิ้นยุค ''บัสบี้ เบ็บส์'' เหล่าชาวแมงค์ก็ได้แต่นั่งมองความสำเร็จของทีมคู่แค้นตาปริบๆ เพราะทีมรักกลับต้องไปดิ้นรนอยู่แถวครึ่งล่างของตารางเสียส่วนใหญ่ และเลวร้ายที่สุดคือ การต้องตกชั้นไปสู่ดิวิชั่นสองเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1973-1974

 
สำหรับแฟนลิเวอร์พูล อะไรจะมีความสุขไปกว่าการที่ทีมรักคว้าแชมป์เป็นว่าเล่น ขณะที่ทีมที่พวกเขากำลังชิงดีชิงเด่นกันมานานยังสะกดคำว่า ''แชมป์ลีก'' ไม่เป็นมานานเกิน 2 ทศวรรษ
 แต่ใครจะคิดว่าหนังเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ!
 
การเข้ามาคุมบังเหียน ''ปีศาจแดง'' ของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในปี 1986 ทำให้ขั้วอำนาจเปลี่ยนมือมาที่แมนเชสเตอร์ อีกคำรบ 
 เมื่อลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเปลี่ยนชื่อจากดิวิชั่น 1 เป็นพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 1992-1993 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยุติการร้างราตำแหน่งแชมป์ลีกนาน 26 ปีลงได้สำเร็จ นับตั้งแต่คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ครั้งล่าสุดในฤดูกาล 1966-1967
 
ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่เข้ามารับงานหัวเรือใหญ่ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมคว้าแชมป์เป็นว่าเล่น โดยตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 12 ของ ''เฟอร์กี้'' เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้ ''ปีศาจแดง'' เบียดแซงหน้าลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นไปสู่บังลังค์ทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุด (19 สมัย)
 คราวนี้กลับต้องเป็นฝ่าย ''เดอะ ค็อป'' บ้างที่ต้องนั่งมองความสำเร็จของ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบละเหี่ยใจ เพราะทีมตัวเองยังไม่เคยได้ชูถ้วยพรีเมียร์ลีกเลยนับตั้งแต่ปี 1993 หรือแค่ 18 ปีเท่านั้นเอง
 
ความรู้สึกคงไม่ต่างกันเท่าไหร่สำหรับสาวก ''เร้ด เดวิลส์'' เพราะอะไรจะสำราญใจไปกว่าการเห็นลิเวอร์พูล ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่แย่งตั๋วใบสุดท้ายเพื่อไปเล่นบอลยุโรป ขณะที่พวกเขายึดพื้นที่หัวตารางซิวแชมป์ลีกปีแล้วปีเล่า
 เรียกว่าใครล้มก็ต้องถูกข้ามจริงๆ สำหรับลิเวอร์พูล และแมนฯ ยูไนเต็ด
 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทั้งสองทีมคือสองสุดยอดสโมสรแห่งวงการฟุตบอลอังกฤษทั้งในแง่ของความสำเร็จ และชื่อเสียง เนื่องจากทั้งคู่ต่างพากันฟาดแชมป์รายการสำคัญรวมกัน 118 รายการ

 
อีกทั้งการที่ทั้งสองทีมผลัดกันแย่งชิงความเป็นหนึ่งของแผ่นดินอังกฤษมาตลอดในช่วงครึ่งศตวรรษหลังสุด  ยิ่งทำให้เกม ''แดงเดือด'' นั้นเป็นมากกว่านัดแห่งศักดิ์ศรีนัดหนึ่งของแฟนบอลทั้งสองทีม

 
และไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมลิเวอร์พูล และแมนฯ ยูไนเต็ด ต่างเป็นทีมที่มีแฟนบอลติดตามเชียร์มากที่สุดในโลก!

คืนนี้ใครจะยิงได้มากกว่ากัน

ลิเวอร์พูลกำลังฟอร์มดี

เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดทุกครั้ง

แมนยูฟอร์มไม่ค่อยดีเท่าไหร




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น