วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

Cristiano Ronaldo ประวัตินักเตะคริสเตียโน่ โรนัลโด้

Subject :ประวัตินักเตะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเด่น Euro2012



  ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังจาก เรอัล มาดริด คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดอส ซานโต๊ส อเวโร่ หรือที่เรารูจักกันในนาม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี 1985 ที่เมืองฟันชัล มาเดร่า ประเทศโปรตุเกส โดยครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่ควินตา โด ฟาชาล เมืองซานโต อันโตนิโอ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โรนัลโด้ เริ่มเล่นฟุตบอลบริเวณตามถนนที่นี่ ก่อนที่ พรสวรรค์ที่เต็มเปี่ยม บวกกับทักษะ และความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม สามารถเล่นได้ทั้งปีกขวา และปีกซ้าย จะฉายแวว และสร้างชื่อให้ โรนัลโด้  ได้รับการยกย่องให้ เป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกในปัจจุบันนี้




 ในวันที่ 19 มีนาคม 2008  โรนัลโด้ จะสร้างสถิติเป็นนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ทำประตูได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล โดยทำลายสถิติเดิมของ จอร์จ เบสต์ อดีตดาวเตะระดับตำนานของ “ปีศาจแดง” ที่เคยทำไว้ที่ 32 ประตู ในระหว่างปี 1967-68
โรนัลโด้ ถูก เรอัล มาดริด ให้ความสนใจอีกครั้ง โดยคราวนี้ ทีม “ราชันชุดขาว” ประกาศพร้อมทุ่ม 100 ล้านปอนด์ (6,300 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว โรนัลโด้ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ก็โดน ยูไนเต็ด ปฏิเสธหน้าหงายไปอย่างไม่ใยดี และในวันที่ 10 พฤษภาคม 2008 โรนัลโด้ สามารถยิงประตูสำคัญในเกมนัดสุดท้าย ที่พบกับ วีแกน ให้ทีมออกนำไปได้ 1-0 จากลูกจุดโทษ ซึ่งถือเป็นประตูรวมที่ 41 และประตูที่ 31 ในศึกพรีเมียร์ชิพ ของเขาแล้วในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะมาบวกเพิ่มให้กับตนเองได้อีกหนึ่งลูกในนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะ เชลซี มาได้ ด้วยการดวลจุดโทษ 6-5 ซึ่งถือเป็นถ้วยรางวัลใบทีสองของ ยูไนเต็ด หลังจาก ที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพมาครองได้แล้ว ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ โรนัลโด้ มีสถิติการยิงประตูเป็นรอง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ในปี 2002-2003 อยู่เพียง 2 ลูกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นผลงานที่ดีพอที่จะทำให้ โรนัลโด้ คว้ารางวัล รองเท้าทองคำประจำฤดูกาล 2007-2008 มาครองได้สำเร็จ ยินดีต้อนรับ Gclub ทุกท่านสู่ความบันเทิงรูปเเบบใหม่ พนักงานบริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง โอนเงินสด 100% รวดเร็ว เลือกเล่นตามความพอใจ ความมั่นคงทางการเงินสูง ทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแทงบอลออนไลน์ ไม่ต้องดาวโหลดให้เสียเวลา เล่นง่ายเพร้อมบริการเป็นกันเอง บริการทั้งด้าน คาสิโนออนไลน์ holiday palaec ไพ่ออนไลน์ บาคาร่า รูเล็ต sbobet เป็นต้น ลูกค้านับล้านให้ความนิยมสูงสุดมีลูกค้ามากที่สุด
       สำหรับเส้นทางในทีมชาติโปรตุเกส โรนัลโด้ ติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ในการเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกส ชุดยู-17, ยู-18 และ ยู-21 ปี ตามลำดับ ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ในนัดที่พบกับ คาซัคสถาน เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2003 รวมถึงยังได้ติดทีมแดนฝอยทอง ลงทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 2004 ซึ่งประเทศบ้านเกิดของเขาเป็นเจ้าภาพเอง อีกด้วย และเขาก็สามารถทำประตูได้ในนัดเปิดสนามที่ โปรตุเกส แพ้ กรีซ 1-2
อย่างไรก็ตาม ทีมเจ้าภาพก็ยังดิ้นรนผ่านเข้ารอบต่อไปจนได้ จนมาถึงในรอบรองชนะเลิศ โปรตุเกส ต้องเจอกับ ฮอลแลนด์ ซึ่งพวกเขาก็สามารถเอาชนะไปได้ 2-1 โดยที่ โรนัลโด้ เป็นผู้ยิงประตูแรกให้กับทีมเจ้าถิ่น ทำให้ โปรตุเกส ได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ พบกับ กรีซ อีกครั้ง และทีมเจ้าถิ่นก็ถูก กรีซ ยัดเยียดความปราชัยให้อีกครั้ง ชวดแชมป์ไปแบบพลิกความคาดหมาย


       นอกจากทีมชาติชุดใหญ่แล้ว โรนัลโด้ ยังลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสชุดโอลิมปิก 2004 อีกด้วย โดยตอนนี้เขาลงสนามให้กับทีมชาติไป 24 นัด ทำได้ 10 ประตู โดยในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก โซนยุโรป เขายิงได้ถึง 7 ประตู เป็นรองดาวซัลโวของโซนนี้ รองจาก เปโดร เปาเลต้า กองหน้าทีมเดียวกัน และโรนัลโด้ ก็ยิงประตูแรกในเกมฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน ได้ในเกมที่พบกับ อิหร่าน ในรอบแบ่งกลุ่ม และมีส่วนสำคัญพาทีมสู่รอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ ก่อนที่ทีมชาติ โปรตุเกส จะจอดป้ายแค่เพียงรอบนี้ เท่านั้น  เข้าสู่การแข่งขันในทัวร์นาเม้นต์ ฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก โรนัลโด้ มีเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญที่ผ่านทีมผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ที่ประเทศ ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ได้สำเร็จ โดยเขายิงไปทั้งสิ้น 8 ลูก รวมถึงทำได้ 1 ประตู และจ่าย 1 ประตู ในเกมรอบสุดท้าย ในรอบแบ่งกลุ่ม ที่ทีมเอาชนะ สาธารณรัฐเช็ก มาได้อย่างสวยงาม 3-1 พร้อมกับพาทีมเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนจะไปพ่ายให้กับเยอรมัน 1-2 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย
ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://dscc.pnu.ac.th/index.php?option=com_ccboard&view=postlist&forum=8&topic=8&Itemid=63

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติของ ดาบิด บีย่า ซานเชซ

                                                                               




หนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดของสเปนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คงจะต้องมีชื่อของ ดาวิด บีย่า รวมอยู่ด้วย
อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับบาเลนเซียในฤดูกาล 2004-05 ที่ผ่านม เจ้าของสมญานาม 'El Guaje' (แปลว่าเจ้าหนู ในภาษา Astrian) เป็นหัวหอกที่เปี่ยมไปด้วยทักษะและสัญชาตญาณของการพังประตู การจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม ความเร็วและความครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นการยิงด้วยเท้าและลูกกลางอากาศที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน ก็ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทั้งสโมสรและทีมชาติได้อย่างรวดเร็ว
บีย่า เริ่มต้นการเล่นอาชีพเมื่อปี 1991 กับ ยูพี ลันเกรโอ ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิด ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมสปอร์ติ้ง กิฆอน ในปี 1999 และประเดิมเกมในระดับลีก้า 2 ในฤดูกาล 2000-01 จากนั้น รีล ซาราโกซ่า ก็ได้หยิบยื่นโอกาสให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์ในเกมระดับลา ลีก้า เป็นครั้งแรกในปี 2003
ระหว่างที่ค้าแข้งกับ ซาราโกซ่า เป็นเวลา 2 ฤดูกาล บีย่า ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ ด้วยการเฉือนรีล มาดริด และ สแปนิช ซูเปอร์คัพ ในปี 2004 ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซีย เจ้าของแชมป์ลา ลีก้า ไปได้อย่างพลิกความคาดหมายด้วยฟอร์มการถล่มประตูที่เฉียบขาด ทำให้ "เจ้าค้างคาว" ยอมทุ่มเงิน 12 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านบาท) เพื่อดึงตัว บีญ่า มาร่วมทีมในปี 2005

         ในฤดูกาล 2004-05 บีญ่าก็ตอบแทนค่าตัวได้คุ้มค่าทุกเซนต์เมื่อทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการทำ 25 ประตูจากการลงสนาม 35 นัดในลีก จะเป็นรองก็แค่ ซามูแอล เอโต้ ดาวยิงของบาร์เซโลน่า ที่คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดลา ลีก้า เพียงคนเดียวเท่านั้น โดย เขาสร้างความฮือฮาด้วยการกดแฮตทริกแรกให้บาเลนเซีย ด้วยการใช้เวลาเพียง 5 นาที ในเกมที่บุกไปเอาชนะ แอธเลติก บิลเบา 3-0 เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา

         จากการทำประตูที่คงเส้นคงวาทำให้มีหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปจ้องที่จะคว้าตัวหัวหอกวัย 25 ปีไปล่าตาข่าย ซึ่งรวมถึง เชลซี แชมป์พรีเมียร์ชิพ 2 สมัย แต่ บาเลนเซีย ก็ไม่คิดที่จะปล่อยเสาหลักของทีมรายนี้ไปง่ายๆ จึงได้จับต่อสัญญาอยู่โยงในถิ่นเมสตาญ่า สเตเดี้ยม ไปจนถึงปี 2013

villaในส่วนของทีมชาติ บีย่า ก็มีผลงานที่น่าประทับใจเช่นเดียวกัน โดย อดีตนักเตะตัวหลักของทีมชาติสเปน ชุดยู-21 เลื่อนขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับ ซาน มาริโน่ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2005 นอกจากนั้น ยังช่วยทำยิงประตูในเกมเพลย์ออฟ ฟุตบอลโลก ที่พบกับ สโลวาเกีย ด้วย
หลังจากที่ช่วยพาทีมกระทิงดุผ่านเข้ามาร่วมฟาดแข้งในรอบสุดท้ายที่ประเทศเยอรมันแล้ว บีย่า ดาวยิงตัวเก่งของบาเลนเซีย ก็ยิงได้ 2 ประตูในนัดที่พบกับ ยูเครน และยิงจุดโทษในเกมที่พ่าย ฝรั่งเศส 1-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนจะปิดฉากฟุตบอลโลกครั้งแรกด้วยการทำ 3 ประตูบีย่า
ในปี 2008 สเปนเข้าแข่งฟุตบอลยูโร 2008 เป็นปีที่สร้างชื่อเสียงให้กับบีย่ามากที่สุด ขณะที่ทั้งโลกจับตามอง เฟร์นานโด ตอเรส แต่กลับเป็นบีย่า ที่ระเบิดฟอร์มในทัวร์นาเม้นต์นี้ โดยประเดิมสนามกับทีมรัสเซีย เขากดไปถึง 3 เม็ด!! ซัดแฮทริคให้ทีมถล่มรัสเซียไป 4-1 จบทัวร์นาเม้นต์ สเปนคว้าแชมป์ไว้ได้ และเขาก็ได้ตำแหน่งดาวยิงสูงสุด 4 ประตูด้วย     และในศึก คอนเฟดเดเรชั่นคัพ ที่ผ่านมา บีย่า ซึ่งเป็นกำลังหลักของทีม ทำผลงานได้ 3 ประตูตลอดทัวร์นาเม้น ประตูสำคัญก็คือ การโหม่งประตูชัยให้สเปนเฉือนเอาชนะอิรักไปได้ 1-0 ช่วยให้สเปน ชนะรวด 3 นัด คว้าที่ 1 ของกลุ่มไปอย่างสบาย ก่อนจบทัวร์นาเม้นในอนดับที่ 3 ซึ่งตั้งแต่รอบตัดเชือกมา บีย่า ทำประตูไม่ได้เลย



ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.sport-idol.com

ประวัติของ ชินจิ คางาวะ


                                 
   


ชินจิ คากาวะ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ให้กับสโมสร มาริโนะ ตั้งแต่ปี 1994-1999 ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีม โกเบ เอ็นเค ในปี 1999-2001 และ เอฟซี มิยากิ บาร์เซโลน่า เซนได 2001-2005 กระทั่งทีมงานแมวมองของ เซเรโซ โอซาก้า เห็นแววของดาวเตะร่างเล็กรายนี้ จึงจับมาเซ็นสัญญาให้มาร่วมทีมตอนอายุ 17 ปี ทำให้เขากลายเป็นนักเตะญี่ปุ่นคนแรกที่เซ็นสัญญาเล่นฟุตบอลอาชีพตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมัธยม ไม่นับผู้เล่นที่ถูกดันขึ้นมาจากเยาวชนในเจลีก
  แข้งร่างเล็ก เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกที่มีการเล่นที่โดดเด่น โดยส่วนใหญ่เขาจะได้ลงเล่นในตำแหน่งหลังศูนย์หน้าตัวกลาง และเขาก็ยังสามารถปรับตัวไปเล่นในตำแหน่งอื่นๆ ได้อย่างดีเยี่ยม จากนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ไปเตะตาโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมแชมป์เยอรมันจึงได้ดึงตัวเขาไปร่วมทีมในฤดูกาล 2010 ด้วยค่าตัว 350,000 ยูโร
 คางาวะ ประเดิมสนามให้ "เสือเหลือง" เป็นเกมแรกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคา 2010 แถมกดไป 2 ประตูในศึกยูโรป้า ลีก ที่พบกับ คาราบัก จากนั้นเจ้าตัวทำประตูแรกในบุนเดสลีกาได้ในวันที่ 18 กันยายน 2010 ในเกมที่ดอร์ทมุนด์ พ่ายต่อ ฮันโนเวอร์ ไป 1-2 จากนั้นแข้งกิมจิ ก็โชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมสม่ำเสมอ