นักเตะในตำนาน









ที่สุดของนักฟุตบอล หลายๆคนคงนึกถึงเปเล่ ราชันลูกหนังโลกชาวบราซิล แต่ก็มีที่สุดของที่สุดอีกคนหนึ่ง ที่วงการฟุตบอลโลก ไม่เคยลืมเลือน และยังเป็นหนึ่งเดียวที่ยากที่จะหาใครเหมือนได้ เขาคนนั้นก็คือ ดีเอโก้ มาราโดน่า ยอดนักฟุตบอลที่พระเจ้าประทานมาให้เลยก็ว่าได้ ชีวิตและเรื่องราวของมาราโดน่า มีทุกอย่าง ไม่ว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในการเล่นฟุตบอล และตกต่ำสุดๆ ในเรื่องของการติดยา เหล่านี้มาราโดน่า ผ่ามมาหมด เรื่องราวของเขาจึงเป็นที่ติดตามมาตลอดไม่ว่าจะผ่านไ ปซักแค่ไหนก็ตาม

ในประเทศอาร์เจนติน่า มาราโดน่า คือที่สุดของที่สุด แม้ว่าจะรูปร่างเตี้ย แต่มันไม่เคยเป็นอุปสรรคในการเล่นโชว์ความสามารถอันย อดเยี่ยมของเขาได้เลย มาราโดน่า เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ในย่านชุมชนแออัดชานกรุงบูโนสไอเรส ด้วยครอบครัวที่ยากจน มาราโดน่าต้องดิ้นร้นอย่างมากที่พาตัวเองให้พ้นจากสภ าพแวดล้อมที่แย่ๆแบบนี้ แต่เหมือนพระเจ้า จะส่งเขาลงมาเกิดมาประทานความสามารถในการเล่นฟุตบอลต ิดตัวมาด้วยเพื่อจะก้าวเป็นสุดยอดของโลก

ดีเอโก้ มาราโดน่า เริ่มชอบฟุตอบลตั้งแต่เด็กๆ เหมือนเด็กละตินทั่วไป แต่ด้วยความยากจน เขาก็ได้แต่เล่นในพื้นที่แคบๆ ตามถนนบียา ฟลอริโต้ ในเมืองหลวงของอาร์เจนติน่า แม้จะรูปร่างเล็กและเล่นได้เท้าซ้ายข้างเดียว แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะแย่งบอลจากเด็กตัวเล็กๆคนนี้ไป ได้ จนกระทั่ง เป็นที่เตะตาของ ฟรานซิส คอร์เนโฮ โค้ชของอาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ที่เห็นแววความสุดยอดของเขา

หลังจากที่มาราโดน่า ได้รับการชักชวนให้เข้าสู่สโมสรอาร์เจนติโนส ที่นี่เขาได้ฝึกปรือความสามารถในเชิงลูกหนังอย่างเต็ มที่ แต่ด้วยความเก่งเกินตัวจนรุ่นเดียวกันสู้ไม่ได้ แม้ว่าโค้ชอยากให้ไปทีละขั้น แต่ก็ต้องส่ง มาราโดน่า ขึ้นสู่ชุดใหญ่และ ลงนามด้วยวัยเพียงแค่ 15 ย่างเข้า 16 ปีเท่านั้นในวันที่ 20 ต.ค. 1976 ในนัดที่ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส พบ ตาเยเรส จากคอร์โดบา

นี่คือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ อีก 4 ปีต่อมา เขาก็นำทีมไม่แพ้ใครถึง 136 เกมถือว่าสุดยอดมากๆ ตอนนั้นชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วอเมริกาใต้ และ ไปถึงยุโรป จนมีคนกล่าวว่าได้เจอ ยอดนักเตะระดับโลกคนใหม่ของอเมริกาใต้แล้ว แต่ปี 1978 อาร์เจนติน่า เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ตอนนั้นหลายเสียงเรียกร้องให้ เซซาร์ หลุยส์ เมนนอตติ เฮดโค้ชทีมชาติเรียกตัวมาราโดน่า ติดทีมชาติแต่ก็โดนปฎิเสธ แม้ว่าเขาไม่ติดทีมชาติ อาร์เจนติน่าก็ยังได้แชมป์โลกไปครองเป็นสมัยแรก

ต่อมามาราโดน่า ติดทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 20ปี ไปคว้าแชมป์เยาวชนโลกได้สำเร็จ หลังจากนั้นดวงของมาราโดน่ามีแต่ทะยานไปข้างหน้า และท้ายที่สุดเขาก็กลายมาสู่ทีมชุดใหญ่จนได้ และ ตอนนั้นได้ย้ายไปร่วมยอดทีมของอาร์เจนติน่า อย่าง โบคา จูเนียร์ส ด้วย

ฟุตบอลโลกปี 1982 ที่สเปน มาราโดน่าติดทีมไปแข่งขันเนครั้งแรก ทุกคนทั่วโลก จดจ้องเขาเพียงคนเดียว ด้วยความสามารถอันเกินวัย แต่ฟุตบอลโลกครั้งนี้ของมาราโดน่า ต้องผิดหวังอย่างแรงเมื่อเขาโดนไล่ออก ในเกมพบบราซิล และอาร์เจนติน่าตกรอบสอง ซึ่งตัวเขาเองก็ผิดหวังสุดๆ

แต่จากนั้นไม่นาน "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า ทุ่มเงินซื้อเขาจากโบคา จูเนียร์ส มาเล่นที่สเปน แต่เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะได้รับบาดเจ็บจากการทำร้ายอย่างหนักหน่วงของกอง หลังในลีกสเปน ถึงขั้นขาหัก

ปี 1984 บาร์เซโลน่า ตัดสินใจขายมาราโดน่าให้กับ นาโปลี ทีมชั้นในกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี ในราคา 220 ล้านบาทและเป็นสถิติโลกด้วยในตอนนั้น ซึ่งนาโปลี ต้องการความสามารถอันสุดยอดของมาราโดน่า ก้าวมาอยู่แถวหน้าของประเทศให้ได้ 23 ก.ย. 1984 มาราโดน่า ประเดิมสนามนัดแรกและเป็นที่ตื่นเต้นของแฟนบอลที่รอค อย มาราโดน่า เล่นได้ดีในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล แต่นาโปลีก็ยังอยู่ท้ายตาราง แต่ครึ่งฤดูกาลหลัง มาราโดน่าโชว์ความสามารถทั้งยิงและจ่ายและเป็นทุกอย่ างของทีม เขาทำได้ 14 ประตู ทำให้จบฤดูกาลแรกของเขา นาโปลีอยู่ที่อันดับ 8

ฤดูกาลต่อมา เขาก็ยังเล่นได้ดี แต่เขายิงน้อยกว่าปีแรก แต่ถึงกระนั้น มาราโดน่าได้กลายเป็นเทพเจ้าของชาวเมืองเนเปิ้ลส์ไปแ ล้ว เพราะทีมเล่นได้สนุกสุดยอด ผิดกับทีมอืนๆในลีกที่เน้นแท็กติกอย่างเดียว ปีที่สองของเขา ทีมจบอันดับที่ 3

ฟุตบอลโลก ปี 1986 ทุกคนได้รู้จักความสุดยอดของมาราโดน่าอย่างแท้จริง คาร์ลอส บิลาร์โด้ เฮดโค้ชทีมชาติอาร์เจนติน่าในตอนนั้น มอบตำแหน่งกัปตันทีมชาติให้มาราโดน่า นำทัพลุยฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก และก็ไม่ทำให้แฟนบอลทั้งชาติผิดหวัง มาราโดน่า นำทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โลกสมัยที่สองอย่างยิ ่งใหญ่ ด้วยฟอร์มอันสุดยอดและโดดเด่นสุดๆของมาราโดน่า ปีนั้นจึงเป็นฟุตบอลโลกของมาราโดน่าเพียงผู้เดียวจริ งๆ

แต่จุดสำคัญอีกอย่างที่ชื่อเสียงของมาราโดน่า กระฉ่อนไปทั้งโลก ก็คือการเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เจอกับทีมชาติอังกฤษ นัดนี้ผู้คนทั้งโลกตระลึงกับการเล่นฟุตบอลที่สุดยอดข องเขา และมาราโดน่ายังใช้มือปัดลูกบอลเข้าประตู ซึ่งเขาเรียกมันว่า " Hand of God" อันหมายถึงหัตถ์ของพระเจ้า แม้คนทั้งโลกจะเห็นว่าเขาใช้มือปัดเข้าประตู แต่ผู้ตัดสินก็ให้เป็นประตูอย่างที่นักเตะจากอังกฤษ ยากที่จะทำใจยอมรับ

ที่สุดยอดกว่านั้นก็คือ อีกไม่กี่นาทีต่อมา หลังจากประตูกังขาแล้ว มาราโดน่า โชว์ทักษะอันสุดยอดที่โลกต้องตะลึง ด้วยการาเลี้ยงบอลจากแดนตัวเองหลบผู้เล่นอังกฤษ อย่าง ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์และปีเตอร์ รีด ก่อนที่จะโยกหลบ เทอร์รี่ เฟนนิค และ เทอร์รี่ บุทเชอร์ ปราการหลังของสิงโตคำราม เข้าไปในเขตโทษ และสุดท้ายยังหลบปีเตอร์ ชิลตันอีกคนก่อนจะยิงประตูเข้าไปอย่างสุดยอด เป็นประตูตอกย้ำความสามารถอันหาใครเสมอเหมือนได้ ประตูนี้จึงถูกเล่าขานมาตลอดว่าเป็นประตูแห่งศตวรรษ เลยก็ว่าได้

และปีเดียวกัน มาราโดน่า นำทัพนาโปลี ตะลุยเก็บคะแนนในลีกอย่างสุดยอด คนทั้งเมืองนับถือเขาดุจเทพเจ้าไปแล้ว และมาราโดน่ายิงถึง 10 ประตู และยังใส่พานให้เพื่อนร่วมทีมอีกไม่รู้เท่าไหร่ และสุดท้าย นาโปลีก็สามารถคว้าสคูเด็ตโต้ หรือแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ แถมปีนั้น มาราโดน่ายังพาทีมนาโปลี ฟาดแชมป์โคปปา อิตาเลีย อีกถ้วยกลาเยป็นดับเบิ้ลแชมป์ไปเลย

ความสุดยอดของมาราโดน่า ยังทำให้นาโปลียิ่งใหญ่ต่อไป เขาพาทีมได้แชมป์ยูฟ่า คัพ เป็นครั้งแรก ทั้งเมืองฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ ความสำเร็จยังไม่ถึงที่สุด ในปี 1990 นาโปลี มาได้แชมป์กัลโช่ เซเรียอา อีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการล้างแค้น มิลานได้สำเร็จ และปีนี้ก็คือปีฟุตบอลโลก และอิตาลีก็คือเจ้าภาพ มาราโดน่ายังเป็นเทพเจ้าของเมืองเนเปิ้ลส์อย่างแท้จร ิง ทีมชาติอาร์เจนติน่าของเขา มาแบบกระท่อนกระแท่น แต่ก็สามารถผ่านทะลุไปได้เรื่อยๆจนมาถึงรอบรองฯ ที่พบกับ อิตาลี เจ้าภาพ นัดนี้จัดที่เมืองเนเปิ้ลส์ แฟนบอลอิตาลีหลายๆคนหันมาเชียร์เทพเจ้าของเมืองแทนชา ติพวกเขา และอาร์เจนติน่าก็สามารถล้มอิตาลี เข้าไปชิงชนะเลิศ กับเยอรมัน คู่ชิงครั้งก่อนได้สำเร็จ

แต่ฟุตบอลโลกครั้งนี้ มาราโดน่า ต้องผิดหวังเพราะทีมของเขาต้องพ่ายแพ้แก่ความยอดเยี่ ยมของเยอรมัน ไป 1-0 และเป็นวันที่มาราโดน่ายืนร้องไห้กลางสนาม หลังจากนั้น ชีวิตของมาราโดน่า เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ แต่ปี 1994 ฟุตบอลโลกที่อเมริกา มาราโดน่าถูกตรวจพบสารกระตุ้น และอาร์เจนติน่าก็ตกรอบไปอย่างรวดเร็ว ช่วงนั้นชีวิตเขามีแต่ความตกต่ำอื้อฉาว เข้าไปพัวพันกับยาเสพติด จนวันที่ 29 ต.ค. 1997 มาราโดน่า ประกาศแขวนสตั๊ด

แม้ชีวิตต่อมาของมาราโดน่า จะเหลวแหลกแค่ไหน แต่ทุกคนก็ยังจดจำความสามารถในการเล่นฟุตบอลของเขามา ก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ และยังเป็นเทพเจ้าของอาร์เจนติน่าอยู่ดี แต่ใครจะคิดว่า ครั้งหนึ่ง มาราโดน่า ที่มีรูปร่างเตี้ยเพียงคนเดียวจะสามารถบันดาลแชมป์โล กให้อาร์เจนติน่ามาแล้ว และยังประสบความสำเร็จในการเล่นลีกที่อิตาลี ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้อย่างเขา

ไม่ว่าจะกี่ปี ชื่อของ ดีเอโก้ มาราโดน่า จะยิ่งใหญ่ตลอดกาลในโลกฟุตบอลยากที่ใครจะมาโค่นลงได้ อย่างแน่นอน


เกียรติประวัติ

ติดทีมชาติ 91 นัด ยิง 34 ประตู


ระดับชาติ

แชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1986 (ร่วมแข่งขัน 4 สมัย ปี 1982-1994


[B][COLOR=red]ระดับสโมสร[/COLOR][/B]

อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส 166 นัด ยิง 116 ประตู ปี 1976-1981

โบคา จูเนียร์ส 71 นัด ยิง 35 ประตู ปี 1981-82 ,ปี 1995-1997

บาร์เซโลน่า 58 นัด ยิง 38 ประตู ปี 1982-1984

นาโปลี 259 นัด ยิง 115 ประตู ปี 1984-1991

เซบีญ่า 29 นัด ยิง 7 ประตู ปี 1992-1993

นีเวลส์ โอลด์ บอยส์ 5 นัด ปี 1993-1994

แชมป์ลีก อาร์เจนติน่า ปี 1981

แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ปี 1987 และ 1990

แชมป์โคปปา อิตาเลีย ปี 1987

แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 1989






เปเล่
อดซง อารังชีส ดู นาซีเมงตู (โปรตุเกส: Edson Arantes do Nascimento) หรือ เปเล่ (โปรตุเกส: Pelé) (เกิด 23 ตุลาคม พ.ศ. 2483) นักฟุตบอลชาวบราซิล เล่นให้ฟุตบอลทีมชาติบราซิลชนะฟุตบอลโลก 3 ครั้ง และได้ชื่อว่าเป็น "ราชาฟุตบอล" หรือ "ไข่มุกดำ" เปเล่ได้ทำประตูทั้งหมด 1,281 ประตูในช่วงที่เล่นฟุตบอลอาชีพ ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทั้งหมด 12 ประตู และได้เกษียณการเล่นฟุตบอลในปี พ.ศ. 2520
เปเล่ได้เล่นให้กับทีมชาติตั้งแต่ปี 1956-1971 โดยในฟุตบอลโลก 1958 ในขณะที่อายุได้ 17 ปี 239 วัน เปเล่ได้เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในฟุตบอลโลกที่ทำประตูได้ ในนัดแข่งกับ ทีมชาติเวลส์
ประวัติ[แก้]

เปเล่เกิดที่เมืองเตรสโกราโซยส์ (Três Corações) ในรัฐมีนัสเชไรส์ ชื่อของเขาถูกตั้งตามโทมัส อัลวา เอดิสัน นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน โดยพ่อของเขาที่มีอาชีพเป็นนักฟุตบอลอาชีพทีมฟลูมีเนงซี (Fluminense Football Club) เป็นคนตั้งให้ และชื่อเล่นว่า “ดีกู” (Dico) พอเข้าชั้นประถมเพื่อน ๆ ก็เรียก “เปเล่” และใช้ชื่อนี้มาตลอด เขาเติบโตในย่านยากจนในเมืองเซาเปาลู เขาต้องหาเงินด้วยการรับขัดรองเท้า เมื่อวิ่งได้ก็เริ่มหัดเล่นฟุตบอลตามท้องถนนและสนามดินลูกรัง ใช้กระดาษม้วนเป็นก้อนกลมเป็นลูกบอล บางทีก็ใช้ผลเกรพฟุต จนอายุได้ 6 ขวบ พ่อเขาซื้อลูกบอลให้ลูกแรก จนเมื่ออายุได้ 11 ปี วาลเดมาร์ จี บริตู (Waldemar de Brito) นักเตะชื่อดังของบราซิลเห็นแววจึงชวนไปอยู่ทีมฟุตบอลสมัครเล่น พออายุได้ 15 ปีจึงได้เข้าทีมเยาวชน Santos FC junior team ปีต่อมาก็ได้เป็นนักบอลอาชีพในทีม Santos Futebol Clube ซึ่งเกมแรกก็ทำประตูชัยได้ 4 ประตู และได้เป็นดาวยิงสูงสุดของลีก พออายุได้ 17 ปี ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิล ลงแข่งฟุตบอลโลกในปี 2501 ซึ่งถือเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุด ทำฟอร์มได้น่าประทับใจ
เปเล่สามารถยิงประตูที่ 2 ในฟุตบอลอาชีพ โดยยิงได้ในเกมที่แข่งกับ ทีมวัชกู ดา กามา (Club de Regatas Vasco da Gama) ในสนามกีฬามารากานัง ต่อมาเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งทวีปอเมริกาใต้ในปี 2516 และในการแข่งขันระดับชาติ เขาพาทีมชาติบราซิลเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย คือปี 2501, 2505 และ 2513 ทำได้ 77 ประตูจากการแข่งขัน 92 ครั้ง สามารถทำสถิติแฮตทริกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก คือ 92 ครั้ง โดยเขาสามารถยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายถึง 12 ประตู จนได้รับการยกย่องให้เป็น "ราชาฟุตบอล” ("The King of Football") ตลอดอาชีพนักเตะเขาทำประตูได้ 1,282 ประตู จากการเล่น 1,363 นัด

1 ตุลาคม 2520 เขาตัดสินใจลาวงการลูกหนังอย่างเป็นทางการในนัดสุดท้ายที่ ไจแอนต์สเตเดียม ซึ่งทีมคอสมอส (Cosmos) พบกับซังตูส (Santos) มีแฟนบอลหลายหมื่นคนเข้าร่วมการอำลาของเขา หลังจากอำลาวงการ เขาก็ยังทำงานด้านฟุตบอล และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ องค์กรระดับโลกให้เข้าร่วมกิจกรรมที่ช่วยเหลือสังคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น