วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โจ ฮารท์นายด่านมากประสบการณ์

โจ ฮารท์นายด่านมากประสบการณ์




นายด่านมากประสบการณ์มือหนึ่งของ"สิงโตคำราม"ทีมชาติอังกฤษ ถึง แม้สุดท้ายทีมของเขาจะไปไม่ถึงฝันพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับ ทีมชาติอิตาลี แต่นายด่านแมนฯซิตี้ คนนี้ก็มีส่วนอย่างมากในการช่วยเซฟประตูที่สำคัญหลายประตูในเกม...

ชื่อ : โจ ฮาร์ท / Joe Hart
วันเดือนปีเกิด : 19 เมษายน 1987 
สถานที่เกิด : ชริวบิวรี ชโรปเชียร์ ประเทศอังกฤษ
ส่วนสูง : 196 เซนติเมตร
อาชีพ : นักฟุตบอล (ผู้รักษาประตู)
สโมสรปัจจุบัน: แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

ประวัติครอบครัว
- ฮาร์ท เป็นลูกชายของ ชาร์ลส์ และหลุยส์ ฮาร์ท โดยเขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนประถม อ็อกซอน

ประวัติการเล่นฟุตบอล
ระดับอาชีพ
- 2006-ปัจจุบัน แมนฯซิตี้ (ยืมตัวไปเล่นให้กับ ทรานเมียร์ ปี 2007, แบล็กพูล ปี 2007, เบอร์มิงแฮม ปี 2009-2010)
-2003-2006 ชรูวบิวรี ทาวน์

ระดับเยาวชน
- ชรูวบิวรี 

ระดับทีมชาติ
2008-ปัจจุบัน ทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่
2007-2009 ทีมชาติอังกฤษ ชุดยู-21
2005-2007 ทีมชาติอังกฤษ ชุดยู-19

เกียรติประวัติและผลงานที่ผ่านมา 

ระดับ สโมสร 
แมนฯซิตี้ : 
- แชมป์เอฟเอคัพ (2010-11)
- แชมป์ พรีเมียร์ลีก (2011-12)

แบล็กพูล : 
- แชมป์เพลย์ออฟ ลีกวัน (2006-07)

ระดับส่วนตัว 
- บาร์เคลย์ โกลเดน โกลฟ 2 สมัย (2010-11, 2011-12)
- ทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก 2 สมัย (2009-10, 201-2012)
- ทีมยอดเยี่ยมลีกทู 1 สมัย (2005-06)
- นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเบอร์มิงแฮม (2009-10)

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เอดิน เซโก กองหน้าจอมเปลี่ยนเกม


เอดิน เซโก กองหน้าจอมเปลี่ยนเกม


หนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในบุนเดสลีก้า 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ย่อมมีชื่อของ เอดิน เซโก้ รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย และฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงของเขาก็ทำให้ยักษ์ใหญ่ของยุโรปหลายทีมจ้องจะคว้า ตัวไปร่วมทีม


หลายคนอาจจะยังไม่เคยทราบว่า ก่อนที่จะมาเป็นหัวหอกเนื้อหอมอย่างเช่นทุกวันนี้ เซโก้ เริ่มต้นการเล่นอาชีพในฐานะมิดฟิลด์ร่วมกับทีมเล็กๆ ที่ชื่ออ่านยากอย่าง Zeljeznicar ระหว่างปี 2003-05 แต่ไม่สามารถโชว์ฟอร์มให้เข้าตาโค้ชได้ จึงถูกส่งตัวไปให้ อุสตี้ นาด ลาเบม ใช้งานในปี 2005 ซึ่งเขาสามารถทำได้ 6 ประตูจากการลงสนาม 15 เกม

หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เซโก้ ก็ตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับ เท็ปลิเซ่ ทีมในพรีเมียร์ลีก สาธารณรัฐเช็ก ซึ่งที่นี่ดาวรุ่งชาวบอสเนียน สามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจและทำได้ถึง 16 จาก 28 เกม และคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของลีกเช็กประจำฤดูกาล 2006-07 ไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม

การเปลี่ยนจากตำแหน่งกองกลางมาเป็นกองหน้าอย่างเต็มตัวนั้นทำให้ เซโก้ ฉายแววได้อย่างเต็มที่ และฤดูกาลอันสุดยอดของเขาก็ทำให้ เฟลิกซ์ มากัธ กุนซือโวล์ฟสบวร์ก ในเวลานั้น ตัดสินใจซื้อเขาเข้ามาเป็นนักเตะใหม่ของทีม "หมาป่า" ด้วยค่าตัว 4 ล้านยูโร (ราว 180 ล้านบาท)

เซโก้ แทบไม่เสียเวลาในการปรับตัวกับลีกใหม่ และสามารถกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลโวล์ฟสบวร์กได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทำได้ 5 ประตูและทำแอสซิสต์ให้เพื่อนอีก 3 ครั้งในการลงเล่น 11 เกมแรก ซึ่งผลงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับการเลือกจาก "สปอร์ตัล" ให้เป็นกองหน้าที่ดีสุดของบุนเดสลีก้าประจำครึ่งฤดูกาล 2007-08

ฤดูกาลแรกของ เซโก้ กับ "หมาป่า" ถือว่าน่าพอใจเนื่องจากทีมจบด้วยการคว้าอันดับ 5 ของตาราง ซึ่งทำให้สโมสรได้สิทธิไปเล่นในฟุตบอลยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 2008-09 โดย เซโก้ ทำไปทั้งหมด 8 ประตูและ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่นเป็นตัวจริง 17 นัด
หลังจากที่ โวล์ฟสบวร์ก ได้เพื่อนร่วมทีมชาติบอสเนียอย่าง ซเวซดาน มิซิโมวิช มาร่วมทีม ฟอร์มการเล่นของ เซโก้ ก็กระฉูดยิ่งกว่าเดิมในฤดูกาลที่ 2 ของเขากับทีม

แม้ว่าจะออกสตาร์ทได้ค่อนข้างจะฝืดในช่วงครึ่งซีซั่นแรก แต่หลังจากนั้น โวล์ฟสบวร์ก ก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางก่อนจะผงาดคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าได้เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์สโมสร โดยในเดือน พ.ค. 2009 เซโก้ ทำแฮตทริกได้ในเกมที่พบกับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ และจากนั้นก็กดแฮตทริกอีกครั้งในเกมพบกับ ฮันโนเวอร์ ในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา

ดาวยิงบอสเนีย จบซีซั่นด้วยการซัดไปทั้งหมด 26 ประตูในลีกกับอีก 10 แอสซิสต์ ในการลงสนาม 32 นัด โดยเขาเป็นรองเพียงแค่ กราฟิเต้ หัวหอกเพื่อนร่วมทีมคนเดียวท่านั้น (28 ประตู) โดยทั้งคู่เป็นคู่กองหน้าที่ประสานงานกันได้มีประสิทธิภาพที่สุดในประวัติ ศาสตร์บุนเดสลีก้าเลยทีเดียว

ในศึกเดเอฟเบ โพคาล เซโก้ ทำไป 6 ประตูในการลงสนามแค่ 2 นัดและในศึกยูฟ่า คัพ เขาก็กดไปอีก 4 ประตู 2 แอสซิสต์ใน 8 เกม และฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมเหล่านี้ทำให้ เซโก้ ได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของบุนเดสลีก้าไปครองแม้ว่าจะได้รับความ สนใจจากเอซี มิลาน แต่ เซโก้ ก็ตัดสินใจอยู่กับโวล์ฟสบวร์กต่อไป ด้วยการเซ็นสัญญาใหม่จนถึงเดือน มิ.ย. 2013

เซโก้ พังประตูแรกในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2009 ในการเจอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งโวล์ฟสบวร์ก พ่ายไป 2-1 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และเขาก็มีชื่อติด 1 ใน 30 คนสุดท้ายที่มีชื่อลุ้นรางวัลบัลลง ดอร์ ประจำปี 2009 ด้วย

ฤดูกาล 2009-10 ของ "หมาป่า" ไม่ค่อยดีนักเมื่อหมดลุ้นป้องกันแชมป์ตั้งแต่ไก่โห่ และยังจอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่มในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย แต่ผลงานการถล่มประตูของ เซโก้ ก็ยังคงดีต่อเนื่องและนั่นทำให้ มิลาน ยื่นความสนใจเข้ามาอีกครั้ง เช่นเดียวกับ เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีข่าวว่าแอบเล็งหัวหอกรายนี้ไว้เช่นกั

ในส่วนของทีมชาติ เซโก้ ซึ่งเกิดในอดีตยูโกสลาเวีย ได้เปลี่ยนสัญชาติมาเป็นบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า และลงเล่นในชุดอายุไม่เกิน 19 ปี และนอกจากนั้น ยังเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดยู-21 ปี ที่ได้เล่นรอบเพลย์ออฟ ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2007 ด้วย

จากนั้น เขาก็เลื่อนชั้นขึ้นสู่ทีมชาติชุดใหญ่ และลงประเดิมสนามนัดแรกกับตุรกี เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2008 โดย เซโก้ สามารถพังประตูแรกได้ทันทีจากลูกวอลเลย์บริเวณกรอบเขตโทษ ซึ่งช่วยให้ทีมตีเสมอเป็น 2-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนที่ บอสเนีย จะเป็นฝ่ายคว้าชัยในท้ายที่สุด 3-2

เซโก้ ทำได้ทั้งหมด 9 ประตูในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 และจบด้วยการเป็นรองดาวซัลโวของโซนยุโรป เท่ากับ เวย์น รูนี่ย์ หัวหอกทีมชาติอังกฤษ โดยเป็นรอง ธีโอฟานิส เกคัส ของกรีซ ที่ทำได้ 10 ประตูเพียงคนเดียว และในเดือน ธ.ค. 2009 เขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของบอสเนียด้วย

ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : เอดิน เซโก้
วันเกิด : 17 มีนาคม 1986
เกิดที่ : ซาราเยโว, ยูโกสลาเวีย (ปัจจุบันเป็นบอสเนียฯ)
ตำแหน่ง : กองหน้า
ส่วนสูง : 194 ซม.
สโมสรปัจจุบัน : โวล์ฟสบวร์ก
หมายเลขเสื้อ : 9
เอดิน เซโก กองหน้าจอมเปลี่ยนเกม ยืนยันไม่อยากสร้างชื่อกับทีม"เรือใบสีฟ้า"แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก 2011-12 ในฐานะซูปเปอร์ซับ พร้อมตั้งเป้าจะยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมให้ได้เอดิน เซโก ดาวยิงบอสเนีย ยืนยันไม่ขอรับบทบาทเป็นซุปเปอร์ซับ ให้ทีม"เรือใบสีฟ้า"แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปตลอดกาล ลั่นต้องการโอกาสสร้างชื่อในฐานะตัวจริงของทีมมากกว่านี้

เซโก กล่าวว่า"โรแบร์โต มันชินี ผู้จัดการทีมเป็นคนเลือกที่จะให้ใครอยู่ในทีมและผมก็อยากให้ทีมต้องการผม ก่อนที่ผมจะมาเล่นให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผมไม่เคยเป็น ซุปเปอร์ซับ มาก่อน"ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เซโก รับบทเป็นฮีโร่เหมาสองประตูช่วยทีมเอาชนะ เวสต์บรอมวิช ไปอย่างเฉียดฉิว 2-1 หลังถูกเปลี่ยนลงสนามในช่วง 11 นาทีสุดท้าย ทำให้ในฤดูกาลนี้ แข้งชาวบอสเนียมีประตูที่ลงไปยิงในฐานะตัวสำรองแล้ว 4 ประตูจากทั้งหมด 6 ประตู ซึ่งตัวของ เซโก เองก็มีความสุขกับผลงานที่ทำแต่ก็ปฏิเสธที่จะเป็นตัวสำรองตลอดกาล"ผมมักจะได้เป็นตัวจริงเสมอตั้งแต่เริ่มค้าแข้งให้กับโวล์ฟสบวร์กและผมก็ทำประตูได้มากมายซึ่งมันไม่ใช่ในบทบาทของตัวสำรอง หลายเกมที่ผ่านมาผมก็มีความสุขที่ยิงประตูได้ แต่ผมจะไม่ยอมเป็นเพียงซุปเปอร์ซับ ผมต้องการที่จะได้ลงสนาม

เจ้าหนู เมสซี่ นักเตะรูปหล่อ ฝีเท้าดีระดับโลก


เจ้าหนู เมสซี่ นักเตะรูปหล่อ ฝีเท้าดีระดับโลก


ลิโอเนล เมสซี่
ลิโอเนล เมสซี่

ลิโอเนล เมสซี่
ลิโอเนล เมสซี่

ลิโอเนล เมสซี่
ลิโอเนล เมสซี่

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  fcbarcelona.comfunmunch.comuk.eurosport.yahoo.com,footballpictures.net

         กำลังโด่งดังไปทั่วโลก และเป็นขวัญใจทั้งหนุ่ม ๆ คอบอล ที่ชอบกีฬาฟุตบอล รวมไปถึงเป็นขวัญใจของสาว ๆ ที่หลงใหลใน ความหล่อเหลาของหนุ่มนักเตะหน้าหล่ออย่าง เมสซี่ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ หนุ่มคนนี้มีสไตล์การเล่นบอลที่โดด เด่นไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะลีลาการลากเลี้ยงสไตล์บาร์เซโลน่า จนทำให้ตอนนี้นับได้ว่า เมสซี่ เป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว 

          เมสซี่ มีชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ.1987 (พ.ศ.2530) เมสซี่ เป็นเด็กหนุ่มที่ เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า เมสซี่ เริ่มเล่นกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ โดยได้เข้าอยู่ในสโมสรที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ซึ่งเป็นสโมสรเล็ก ๆ มีพ่อเป็นโค้ชให้ จนเมื่อปี 1995 (พ.ศ.2538) เมสซี่ จึง ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่า และเป็นสโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนติน่า ชื่อสโมสร นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเรียนวิชาฟุตบอลที่เข้มข้นมาเรื่อย ๆ

          เมื่ออายุ 11 ปี เมสซี่ ก็ได้เข้าร่วมสังกัด นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เป็นทางการอย่างเต็มตัวแต่ดูเหมือนว่าเส้นทางนักเตะของเขาจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด เมื่อมีเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้ไปต่อในสนามค้าแข้ง นั่นก็คือการที่ เมสซี่ ร่างกายเล็กและมีปัญหาทางด้านการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวหายไป

          แต่สวรรค์ก็เข้าข้าง เมสซี่ เมื่อ การ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของบาร์เซโลน่า ได้เห็นฟอร์มการเล่นฟุตบอลของเมสซี่ แล้วประทับใจในฝีเท้าของเมสซี่ จึงได้ยื่นข้อเสนอว่าทางบาร์เซโลน่าจะจ่ายเงินค่ารักษา และเมสซี่ได้ย้ายไปอยู่ที่สเปนพร้อมทั้งครอบครัว เพื่อฝึกฝนฝีเท้ากับทีมบาร์เซโลน่า

          จากนั้นภายในเวลาอันรวดเร็ว เมสซี่ ก็ได้ก้าวขึ้นเป็นดาวเด่นในทีมเยาวชนของบาร์เซโลน่า และได้เข้าสู้ทีมบาร์เซโลน่า บี เป็นเวลาต่อมา พร้อมทั้งได้มีผลงานดีเรื่อยมา จนปลายฤดูกาล 2004เมสซี่ ก็ได้โอกาสเข้ามาอยู่กับทีมชุดใหญ่ ของบาร์เซโลน่า และถือเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในทีมบาร์เซโลน่า วัยเพียงแค่ 17 ปี เท่านั้น

          ทั้งนี้ถึงแม้ว่า เมสซี่ จะอยู่ในสังกัดทีมบาร์เซโลน่า แต่เค้าก็ยังมีความรักบ้านเกิด เขาได้กลับมาเป็นทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนติน่า ถึงแม้ว่าทีมชาติสเปนจะเสนอให้เขาร่วมเล่นในทีมชาติสเปนด้วยแต่ เขาก็ปฏิเสธไป 

          อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ในสเปน ได้ตั้งให้ฉายาให้แก่ เมสซี่ ว่า "เมสซี่โดน่า" เพราะมีฝีเท้าเด็ด ไม่แพ้ "ดิเอโก้ มาราโดน่า" นักเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลของโลก หลายคนยกย่องว่าเขาคือนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก และคือนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของอาร์เจนติน่า และล่าสุดจากนัดที่เอาชนะ อาร์เซนอล ไปถึง 4-1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่เมสซี่ โชว์ซัลโวคนเดียว 4 ประตู ยิ่งทำให้แฟน ๆ บอลของ เม สซี่ ก็ต่างออกมาเชิดชูว่า เมสซี่ เป็นนักบอลที่มีฝีเท้าโดดเด่นหาตัวจับยาก เหมือนกับ "ดิเอโก้ มาราโดน่า" ไม่มีผิดเพี้ยนเลย ทีเดียว

ประวัติส่วนตัวของ เมสซี่

          ชื่อเต็ม: ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่
          วันเกิด: 24 มิถุนายน ค.ศ.1987 (พ.ศ.2530)
          สถานที่เกิด: โร ซาริโอ , ประเทศอาร์เจนติน่า
          ส่วนสูง: 169 เซนติเมตร (5 ฟุต 6 นิ้ว)
          น้ำหนัก: 67 กิโลกรัม
          ฉายา: เมสซิโดน่า, ลีโอ
          ตำแหน่ง: กอง หน้าตัวต่ำ/กองกลาง ตัวรุก
          สโมสรปัจจุบัน : บาร์เซโลน่า
          หมายเลข: 10

ประวัติการค้าแข้งของ เมสซี่

         ค.ศ.1995 - ค.ศ.2000 (พ.ศ.2538 – พ.ศ.2543): นักเตะฝึกหัดของสโมสร นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์    
         ค.ศ.2000 - ค.ศ.2004  (พ.ศ.2543 – พ.ศ.2547): นักเตะฝึกหัดของสโมสร บาร์เซโลน่า     
         ค.ศ.2004 – ปัจจุบัน (พ.ศ.2547 – ปัจจุบัน): สโมสร บาร์เซโลน่า   
         ค.ศ.2005 - ปัจจุบัน (พ.ศ.2548 – ปัจจุบัน): ทีมชาติอา ร์เจนติน่า

เกียรติยศระดับทีมชาติ (ทีมชาติอาร์เจนตินา)

         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) : แชมป์ฟุตบอลโลกรุ่น อายุไม่เกิน 20   
         ค.ศ.2007 (พ.ศ.2550) : รองแชมป์ โคปปาอเมริกา
         ค.ศ.2008 (พ.ศ.2551) : เหรียญทองโอลิมปิก  

เกียรติยศระดับสโมสร (ทีมบาร์เซโลน่า)

         ค.ศ.2004 (พ.ศ.2547), ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548), ค.ศ.2008 (พ.ศ.2548) (พ.ศ.2551):แชมป์ลาลีกาสเปน  
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548), ค.ศ.2008 (พ.ศ.2551)  : แชมเปียนส์ลีกยูฟ่า
         ค.ศ.2008 (พ.ศ.2551): แชมป์โคปปา เดลเรย์
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548), ค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) : แชมป์ซูปเปอร์โคปา สเปน Supercopa de Espana

เกียรติยศส่วนตัว

         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548): นักเตะยอดเยี่ยม (Golden Ball) ฟุตบอล โลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548): ดาวซัลโว (Golden Boot) ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548): นักเตะดาวรุ่งยอด เยี่ยม (Golden Boy)
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548): นักเตะอาร์เจนตินา แห่งปี (Olimpia de Plata)
         ค.ศ.2006 (พ.ศ.2549): นักเตะดาวรุ่งแห่งปี ของฟีฟ่า (FIFPro)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
sport-idol.comth.wikipedia.org

ดาวิด ซิลบา นิว ไอมาร์ แดนกระทิง


ดาวิด ซิลบา นิว ไอมาร์ แดนกระทิง 


       
       สำหรับชื่อของ ดาวิด ซิลบา ปรากฎเป็นครั้งแรกในโลกของฟุตบอลที่สโมสร "ค้างคาว" บาเลนเซีย กับการเล่นในทีมเยาวชน ก่อนถูกปล่อยให้ เอสดี ไอบาร์ ยืมตัวไปใช้งานในฤดูกาล 2004 จากนั้นฤดูกาลถัดมาก็ถูกส่งตัวไปหาประสบการณ์กับ เซลตา บีโก อีก 1 ฤดูกาล
       
       กระทั่งดาวรุ่งจอมเลื้อยรายนี้ติดทีมชาติสเปนชุดลุยฟุตบอลเยาวชนโลก อายุไม่เกิน 21 ปี ในปี 2005 พร้อมกับซัดได้ 4 ประตู จนต้นสังกัดต้องเรียกตัวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ ซึ่งจุดเด่นของ ซิลบา คือการลากเลื้อยที่ถือเป็นสุดยอดคนหนึ่งแห่งวงการลูกหนังกระทิงดุนาทีนี้ พร้อมกันนี้ สโมสร บาเลนเซีย ได้มอบเสื้อหมายเลข 21 ให้กับดาวรุ่งรายนี้ เพื่อเป็นตัวแทนของ ฮวน ปาโบล ไอมาร์ อดีตดาวเตะชาวอาร์เจนตินา ขวัญใจแฟนบอลอีกด้วย
       
       โดย ซิลบา ฉายฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นสะดุดตามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในฤดูกาล 2006 ก็สามารถซัดประตูสำคัญให้ทีมในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับทีมอย่าง อินเตอร์ มิลาน และ เชลซี ได้อีก จากฟอร์มการลากเลื้อยอันร้อนแรง ส่งผลให้ หลุยส์ อราโกเนส กุนซือทีมชาติสเปน ตัดสินใจมอบตำแหน่งผู้เล่น 11 คนแรกให้กับดาวเตะรายนี้ไปลุยศึกยูโร 2008 ด้วย
       
        ซึ่งที่ผ่านมาปีกซ้ายวัย 22 ปีก็โชว์ฟอร์มได้สม่ำเสมอมาตั้งแต่เริ่มต้นทัวร์นาเมนท์ จนสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปต่างแสดงความสนใจคว้าตัวไปร่วมทีม โดยเฉพาะ ราฟาเอล เบนิเตซ นายใหญ่ของทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล และ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล แม้โอกาสย้ายทีมจะมีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเจ้าตัวมีสัญญาค้าแข้งกับต้นสังกัดยาวนานถึงปี 2014 เลยทีเดียว
       
       อีกทั้ง ซิลบา ยังคงไม่ต้องการตัดสินอนาคตการค้าแข้งในระหว่างนี้ เนื่องจากยังมีภาระกิจนำทัพกระทิงดุล่าฝันคว้าแชมป์ยูโร 2008 บนแผ่นดินออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์ต่อไป...

ประวัติ เซร์คิโอ"กุน"อเกวโร


ประวัติ เซร์คิโอ"กุน"อเกวโร

เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน . ชื่อ : Sergio Leonel “Kun” Ag?ero del Castillo เกิดวันที่ : June 2, 1988 สถานที่เกิด : Quilmes Argentinaส่วนสูง : 174 ซม. ตำแหน่ง : กองหน้าต้นสังกัดปัจจุบัน : แอต มาดริด เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน กองหน้าดาวรุ่งพุ่งแรงในปัจจุบันชาวอาร์เจนติน่ารายนี้ เริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกในอาร์เจนติน่ากับสโมสร Independiete ในลีกอาร์เจนติน่า ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2003 อาร์เจนติน่าต้องจารึกประวัติศาสตร์อีกครั้ง เมื่อ เอล กุนได้ลงเล่นในฐานนะนักเตะเป็นครั้งแรกด้วยวัย 15 ปี 35 วัน ลบสถิติเก่าของตำนานเบอร์ 1อย่าง ดีเอโก้ มาราดอนน่า ลงอย่างสิ้นเชิง ตลอดเวลาการค้าแข้ง 3 ปี ในลีกบ้านเกิดอเกรโร่ กุน ลงเล่นให้กับ ndependiete ไปทั้งหมด 53 นัดยิงได้ 23 ลูก จนก้าวขึ้นมาติดทีมชาติอารืเจนติน่าชุด U17 U20 และ U 23จุดเริ่มต้นและก้าวที่ยิ่งใหญ่ของ เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน ก็เกิดขึ้นในปี 2006 หลังจากที่ได้ลงเล่นในลีกบ้านเกิดจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาสโมสรยักษ์ใหญ่ต่างๆในลีกยุโรปแล้ว นักเตะหนุ่มน้อยรายนี้ก็ได้ย้ายออกจากบ้านเกิดมาค้าแข้งกับทีม ตราหมี แอต มาดริดวันที่ 29 พฤษภาคม 2006 แอต มาดริด เปิดตัว อเกวโร่ กุน ในฐานนะนักเตะคนใหม่ของทีม ใครจะไปเชื่อว่ากองหน้ารายนี้จะมีค่าตัวในการย้ายเข้ามายังถิ่น บิเซนเต้ กัลเดร่อนด้วยค่าตัว 20 ล้านปอด์นในวันที่ 13 ธันวาคม 2006 เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน ได้ลงมาสัมผัสเกมส์เป็นครั้งแรกหลังจากย้ายมาร่วมทีม โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 91 ในเกมส์ โคปา เดลเรย์ที่ลงเล่นกับ เลบานเต้ และต้องดวลกันถึงจุดโทษ และก็เป็น เอล กุน ที่เป็นคนยิงจุดโทษปิดท้ายให้ทีมชนะในไป 4-2 ในเกมส์นี้หลังจากนั้น เอล กุน ก็ได้ลงเล่นในเกมส์ลาลีกาที่ แอต มาดริด ต้องบุกไปเยือนถิ่นบาร์เซโลน่า โดยเกมส์นั้นผลจบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1 แต่ เอล กุน กลับมีชื่อผู้ทำประตูได้หลังจากที่ได้ลงเล่นในเกมส์ลีกเป็นครั้งแรกในปี 2007 การจากไปของยอดกัปตันทีมคนเก่ง เฟอร์นานโด ตอร์เรส ได้เปิดทางให้หัวหอกชาวอาร์เจนติน่ารายนี้ได้ลงเล่นอย่างเต็มตัว โดยได้ยืนเล่นกองหน้าเคียงคู่กับดีเอโก้ ฟอร์ลัน หัวหอกชาวอุรุกวัย แถมยังระเบิดฟอร์มเก่งออกมาด้วยการถล่มประตูคู่แข่งไปได้ทั้งหมด 20 ลูก แถมยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติของ Trofeo Alfredo Di Stefano ในฤดูกาล 2007-2008ที่ผ่านมาอเกวโร่ กุน ได้ถูกเรียกติดทีมชาติอาร์เจนติน่าชุด U20 ในการลงเล่นชิงแชมป์โลกกองหน้ารายนี้ก็ไม่ได้ทำให้กุนซือและเพื่อนร่วมทีมผิดหวังแม้แต่น้อยเลยทีเดียว ด้วยการนำทีมชาติอาร์เจนติน่า เถลิงบัลลังค์แชมป์โลกได้สำเร็จ รวมทั้ง การคว้ารางวัลรองเท้าทองคำในการแข่งขันในครั้งนั้นด้วย จากผลงานและฟอร์มการเล่นที่สุดยอดของกองหน้าชาวอาร์เจนติน่ารายนี้ ได้ส่งผลให้เจ้าตัวมีชื่อเข้าชิง รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า และยังสามารถคว้ารางวัลนี้มาครองได้สำเร็จทำให้ชื่อเสียงของ อเกวโร่ กุน ได้รับการจับตามองมากขึ้นในปี 2008 อเกวโร่ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ของตัวเองในนามทีมชาติอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาถูกเรียกตัวติดชุดทีมชาติลงเล่นในโอลิมปิกที่ปักกิ่งประเทศจีน ต้องบอกเลยว่าการถูกเรียกตัวไปติดครั้งนี้ทำให้หลายๆคนได้เห็นกองหน้าคู่หูที่อันตรายทีเดียวอเกวโร่ กุน ได้ลงเล่น โดยจับคู่กับ ลิโอเนล เมสซี่ ตลอดการแข่งขันจนพาทีมชาติก้าวขึ้นไปคว้าเหรียญทองมาคล้องคอได้สำเร็จ ผลงานในระดับนานาชาติ อเกวโร่ กุน ลงเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2006 โดยเกมส์นั้นเป็นการพบกันระหว่าง อาร์เจนติน่า และ บราซิล เตะกันในวันที่ 3 กันยายน 2006 ที่เอมิเรสต์ บ้านของปืนใหญ่อาร์เซน่อล และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้ามาสู่ทีมชาติชุดใหญ่ของกองหน้ารายนี้ ปัจจุบัน เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน ติดทีมชาติไปแล้วทั้งหมด 14 นัดและสามารถทำประตูในนามทีมชาติได้ 5 ประตู 

ประวัติของ อีเคร์ กาซียาส

ประวัติของ อีเคร์ กาซียาส
























กาซิลลาส
หนึ่งในจอมหนึบแถวหน้าของโลกคงต้องมีชื่อของ อีเคร์ กาซียาส นายทวารรูปหล่อของเรอัล มาดริด รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
กาซียาส ถือเป็นลูกหม้อของ "ราชันชุดขาว" มาตั้งแต่ต้น โดยเขาเริ่มเข้าสู่ทีมเยาวชนของเรอัล มาดริด ตั้งแต่ฤดูกาล 1990-01 และฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมเกินวัยก็ทำให้ถูกสตาฟฟ์โค้ชเรียกขึ้นมาสู่ทีมซีในฤดูกาล 1998-99 และใช้เวลาเพียงปีเดียวก็ก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กาซียาส ก็กลายเป็นตัวหลักในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาบิว มาตลอด และกลายเป็นผู้เล่นจอมเก๋าทั้งที่อายุยังน้อย และจากฟอร์มการเล่นที่ดีอย่างคงเส้นคงวาก็ทำให้เขาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ในทีมชาติสเปนด้วย ซึ่งผลงานที่ยอดเยี่ยมตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมาก็ทำให้เขากลายเป็นนายทวารที่มีค่าตัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว
จุดเด่นของ กาซียาส อยู่ที่ความเหนียวแน่น โดยเฉพาะการโชว์ซูเปอร์เซฟที่มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ นอกจากนั้น ยังมีความเป็นผู้นำสูงด้วย ซึ่งทำให้เขาได้สวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมชาติสเปน และเป็นรองกัปตันที่เรอัล มาดริด ต่อจาก ราอูล กอนซาเลซ หัวหอกจอมเก๋าที่อาวุโสที่สุดในทีมราชันชุดขาวด้วย
แฟนบอลของมาดริด ตั้งสมญานามให้ กาซียาส ว่า "the Bernabeu's spoiled child" หรือเป็นลูกรักของเบอร์นาบิว เพราะนอกจากจะมีช่วยไม่ให้ทีมเสียประตูหลายต่อหลายครั้งแล้ว เขายังแสดงให้เห็นว่ารักสโมสรมากเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจหลังพาทีมคว้าแชมป์ลา ลีก้า ฤดูกาล 2006-07 หลังจากที่ไม่มีถ้วยรางวัลใดๆ มาประดับตู้โชว์ถึง 3 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ร้างลาความสำเร็จนานที่สุดในรอบ 50 ปีเลยทีเดียว
ในส่วนของทีมชาตินั้น กาซียาส เป็นหนึ่งสมาชิกของทีมกระทิงดุในชุดที่คว้าแชมป์ยูฟ่า-คอนคาเคฟ เมอริเดียน และ ฟีฟ่า เวิลด์ ยูธ แชมเปี้ยนชิพ ในปี 1999 จากนั้นก็ได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับสวีเดน ในศึกยูโร 2000
ในยูโร 2008 กาซียาส ลงสนามในฐานะมือหนึ่งของทีม ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม(ลงไป 2 นัด) โดยเสียประตูเพียงแค่ 3 ลูกเท่านั้น น้อยที่สุดในกลุ่ม และ 1 แมทช์สำคัญที่กาซียาสเป็นฮีโร่ของสเปน นั่นก็คือ การชนะลูกโทษอิตาลีในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งอิตาลียิงได้แค่ 2 ลูกเท่านั้น ซึ่งตั้งแต่รอบตัดเชือกเข้ามา สเปนไม่เสียประตูเลย!!! คว้าแชมป์ยุโรปไปได้อย่างสวยงาม
ในปี 2009 สเปนมีคิวแข่ง ฟุตบอลคอนเฟดเดเรชั่น 2009 ซึ่งกาซียาส ยังคงได้รับการไว้วางใจให้เป็นมือหนึ่งของทีม และก็ทำผลงานได้ดี เมื่อสเปนเข้ารอบเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม ซึ่งไม่เสียประตูเลยเช่นเคย เข้ารอบมาเจอกับอเมริกา
เหตุการณ์ช็อคโลกเกิดขึ้น เมื่อสเปน เจอทีมซึ่งผ่านเข้ารอบมาอย่างหวุดหวิด ยิงชนะไปขนิดที่สเปนเอาคืนไม่ได้เลย 2-0!!! กาซิลยาส ซึ่งเสียหน้าในแมทช์นี้มาก การเสียถิติ cleansheet ติดต่อกันของเขาส่งผลให้ทีมพ่ายแพ้อย่างน่าเจ็บใจ
กาซิยาส
เกียรติยศกับเรอัล มาดริด
- ลา ลีก้า : 2000-01, 2002-03 and 2006-07, 2007/08
- สแปนิช ซูเปอร์คัพ : 2001, 2003, 2008
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 1999-00 and 2001-02
- ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ : 2002
- แชมป์สโมสรโลก : 2002
เกียรติยศกับทีมชาติสเปน- ยูฟ่า ยู-15 แชมเปี้ยนชิพ : 1995
- ยูฟ่า ยู-17 แชมเปี้ยนชิพ : 1997
- ยูฟ่า ซีเอเอฟ เมอริเดี้ยน : 1999
- ฟีฟ่า เวิลด์ ยูธ แชมเปี้ยนชิพ : 1999|
- ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ
รางวัลส่วนตัว
- บราโว่ อวอร์ด : 2000
- ดาวรุ่งยอดเยี่ยม: 1999-00
- ติดทีมยอดเยี่ยมประจำปีของยูฟ่า : 2007, 2008
- ติดทีมยอดเยี่ยมของ อีเอสเอ็ม : 2007-08
- ถ้วยรางวัล ซาโมรา : 2007-08
- ติดทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน ของ ESM : เมษยน-พฤษภาคม 2000, มกราคม 2001, พฤษภาคม 2002,  กุมภาพันธ์-มีนาคม 2004, ตุลาคม-ธันวาคม 2007, มกราคม 2008, เมษายน 2008
- ติดทีมประจำทัวร์นาเม้น ยูฟ่ายูโร 2008
- ติดสุดยอดทีมของฟีฟ่าโปร : 2007-08
- สุดยอดโกลคีพเพอร์ : 2008

ประวัติของ โอลิเวอร์ คาห์น

ประวัติของ โอลิเวอร์ คาห์น
kahn แม้ว่าจะแขวนถุงมือไปแล้ว แต่ชื่อของ โอลิเวอร์ คาห์น แห่งบาเยิร์น มิวนิค ก็คงจะถูกจดจำในฐานะหนึ่งในสุดยอดผู้รักษาประตูแถวหน้าของโลกในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาอย่างไม่ต้องสงสัย
 คาห์น เริ่มต้นการค้าแข้งอาชีพกับคาร์ลสรูห์ ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิดเมื่อปี 1987 ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีม "เสือใต้" เมื่อปี 1994 และกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของวงการฟุตบอลเยอรมัน เมื่อคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าได้ถึง 8 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 6 สมัย, ยูฟ่า คัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และอินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ อย่างละสมัย นอกจากนั้น ยังคว้ารางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของยุโรป 4 ปีติดต่อกันด้วย หลังจากที่ใช้เวลาในการเป็นตัวสำรองอยู่ 3 ปีที่คาร์ลสรูห์ คาห์น ก็ได้รับโอกาสให้ลงเป็น 11 คนแรกเมื่อปี 1990 ภายใต้การคุมทีมของ วิลเฟรด เชเฟอร์ และเขาก็ไม่ทำให้เจ้านายต้องผิดหวังเมื่อเป็นกำลังสำคัญให้ทีมมาตลอดซึ่งรวมถึงการพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 1993-94
 ผลงานการป้องกันประตูที่เหนียวหนึบของเขา ทำให้บาเยิร์น มิวนิค ตัดสินใจทุ่มเงิน 2.5 ล้านยูโร (ราว 125 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นสถิติค่าตัวสูงสุดของผู้รักษาประตูในเวลานั้น เพื่อดึงตัวมาเฝ้าเสาให้ในฤดูกาล 1994-95 และเป็นนายด่านเบอร์ 1 ของทีม "เสือใต้" มาอย่างโดยตลอด
 ผลงานการป้องกันประตูที่เหนียวหนึบของเขา ทำให้บาเยิร์น มิวนิค ตัดสินใจทุ่มเงิน 2.5 ล้านยูโร (ราว 125 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นสถิติค่าตัวสูงสุดของผู้รักษาประตูในเวลานั้น เพื่อดึงตัวมาเฝ้าเสาให้ในฤดูกาล 1994-95 และเป็นนายด่านเบอร์ 1 ของทีม "เสือใต้" มาอย่างโดยตลอดkahn ในปี 1999 "คิง คาห์น" ก็ต้องพบกับความชอกช้ำอย่างหนักเมื่อบาเยิร์น พลาดท่าพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สนามคัมป์ นู เมื่อเขาเสีย 2 ประตูในนาทีสุดท้ายและช่วงทดเวลา ทำให้ "ปีศาจแดง" แซงชนะไปอย่างเจ็บแสบ 2-1 จนกลายเป็นที่ขนานนามกันว่า "โศกนาฎกรรมแห่งคัมป์ นู" อย่างไรก็ตาม ในอีก 2 ปีต่อมา คาห์น ก็แก้ตัวได้สำเร็จเมื่อถูกเลือกให้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อพาบาเยิร์น คว้าเหรียญชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ด้วยการเฉือนชนะ บาเลนเซีย ในการดวลจุดโทษ และเป็นการพา "เสือใต้" เป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 4 ด้วย คาห์น สร้างชื่อให้ตัวเองอีกครั้งในปี 2007 เมื่อกลายเป็นผู้รักษาประตูที่ทำสถิติคลีนชีตมากที่สุดในประวัติศาสตร์บุนเดสลีก้าเมื่อทำได้ 190 นัด และเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2007 เขาก็ลงเฝ้าเสาในลีกเป็นเกมที่ 535 ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดานายทวารทั้งหมด หลังจากที่ลงเล่นอาชีพมานานกว่า 2 ทศวรรษ คาห์น ก็ประกาศว่าเขาจะไม่ต่อสัญญากับบาเยิร์นอีกเมื่อจบฤดูกาลนี้ และเขาก็ได้ทำตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถปิดฉากด้วยการคว้าดับเบิลแชมป์ เมื่อพลาดท่าพ่ายเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก จากรัสเซีย แบบเละเทะ 0-4 ในรอบรองชนะเลิศยูฟ่า คัพ ทว่า อย่างน้อย "คิง คาห์น" ก็ยังช่วยให้ "เสือใต้" กลับมาคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าได้อีกครั้ง ด้วยการถล่ม แฮร์ธ่า เบอร์ลิน 4-1 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา และนั่นก็ทำให้นายทวารจอมเก๋าลงเฝ้าเสาให้บาเยิร์นไปทั้งหมด 428 นัด จนถูกยกให้เป็นตำนานผู้รักษาประตูของยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นบาวาเรียเช่นเดียวกับ เซปป์ ไมเออร์ ด้าน ผลงานในทีมชาติ คาห์น ได้ลงเฝ้าเสาให้ทีมอินทรีเหล็กเป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 1995 และก็เป็นหนึ่งในทีมเยอรมันชุดคว้าแชมป์ยูโร 2006 แต่เขาก็ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนม้านั่งสำรอง จนกระทั่ง อันเดรียส ค็อปเค่ ประกาศอำลาแขวนถุงมือหลังจบศึกฟุตบอลโลก 1998 กระนั้นก็ตาม คาห์น ที่ได้สวมเสื้อหมายเลข 1 ให้กับทีมอินทรีเหล็ก กับต้องพบกับความผิดหวังอย่างหนักศึกยูโร 2000 เมื่อเยอรมัน แชมป์เก่า ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับโรมาเนีย, อังกฤษ และโปรตุเกส ต้องกระเด็นตกรอบแรกแบบพลิกความคาดหมาย. โดยหลังจากนั้น คาห์น ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติต่อจาก โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ ในศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพร่วม คาห์น ได้รับเลือกให้เป็นผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ "เลฟ ยาชิน อวอร์ด" หลังจากเสียไปแค่ 3 ประตู ก่อนพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายให้กับ บราซิล ไปอย่างหวุดหวิด และฟอร์มอันสุดยอดเยี่ยมของเขาก็ทำให้กลายเป็นนายทวารคนแรกที่ได้รับรางวัล "โกลเดน บอล อวอร์ด" ในศึกฟุตบอลโลก อีก 2 ปีต่อมา เยอรมัน ก็ต้องจอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่มอีกครั้งในศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คาห์น ก็เสียตำแหน่งนายทวารเบอร์ 1 ของทีมชาติ เมื่อ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ กุนซือทีมอินทรีเหล็ก ให้โอกาส เยนส์ เลห์มันน์ ของอาร์เซน่อล ได้ลงสนามมากขึ้น ก่อนจะตัดสินใจประกาศให้ เลห์มันน์ เป็นตัวจริงในศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมัน เป็นเจ้าภาพ ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับ คาห์น อย่างไรก็ตาม คาห์น ก็ยังยอมลงเล่นเป็นตัวสำรองให้กับทีม และเมื่อ เยอรมัน แพ้ในรอบรองชนะเลิศ คลิ้นส์มันน์ ก็ให้โอกาสเขาลงเฝ้าเสาในเกมชิงอันดับที่ 3 พร้อมกับให้เป็นกัปตันทีมแทนที่ มิชาเอล บัลลัค ที่ไม่ได้ลงเล่น และนายด่านบาเยิร์น ก็ไม่ทำให้โค้ชต้องผิดหวังเมื่อโชว์ฟอร์มเซฟสวยๆ ได้หลายครั้งและช่วยให้ทีมเอาชนะโปรตุเกส 3-1 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2006 ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายในการเล่นทีมชาติของเขาด้วย สำหรับชีวิตส่วนตัวนั้น คาห์น ได้แยกทางกับ ซิโมเน่ ภรรยาคนแรก ที่มีลูกด้วยกัน 2 คนเมื่อปี 2003 โดยการหย่ามีขึ้นหลังจากที่สื่อในเมืองเบียร์ตีพิมพ์ภาพสวีตหวานระหว่าง คาห์น กับ เวเรน่า เคิร์ธ อดีตบาร์เกิร์ล ในระหว่างที่เขาทิ้งภรรยาที่กำลังตั้งท้องลูกคนที่ 2 ได้ 8 เดือน ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของคนในสังคม แต่ คาห์น ก็ยังคบหากับ เคิร์ธ มาจนถึงปัจจุบัน

ประวัติของ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์


ประวัติของ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์
 
           เมื่อครั้งที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ แฟนบอลอาร์เซน่อลหลายคนอาจไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่เมื่อถึงชั่วโมงนี้แล้วก็คงจะไม่มีข้อสงสัยใดๆ ในความยอดเยี่ยมของศูนย์หน้าร่างโย่งรายนี้อีก

           หลังจากที่ทำไปได้ 4 ประตูในซีซั่นแรกกับ "ไอ้ปืนใหญ่" อเดบายอร์ ในฤดูกาล 2006/2007 ก็ซัดไป 12  ประตู จากการลงสนามทั้งสิ้น 44 นัด ซึ่งถือว่ายังน้อยอยู่ บายอร์เพิ่งมาออกแววเพชรฆาตในฤดูกาล 2007/08 ด้วยจำนวนประตู 30 ลูกจาก 48 นัด ซึ่งทำให้กองเชียร์อาร์เซน่อล พอจะคลายความคิดถึง เธียร์รี่ อองรี อดีตดาวยิงตัวเก่ง ที่ย้ายไปบาร์เซโลน่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาได้บ้าง
          เส้นทางสู่ถนนลูกหนังของ อเบดายอร์ เริ่มต้นขึ้นในค่ายฝึกซ้อมที่เมืองโลเม่ ในประเทศโตโก และขณะเล่นอยู่ในระดับเยาวชนอายุไม่เกิน 15 ปี ฝีเท้าของเขาก็โดดเด่นจนไปเตะตาแมวมองของ เม็ตซ์ ทีมจากลีก เอิง เข้าอย่างจัง ก่อนจะถูกเรียกตัวไปทดสอบฝีเท้า และได้เซ็นสัญญากับสโมสรดังของฝรั่งเศส เมื่อปี 1999


          ใช้เวลาอีก 2 ปีในทีมชุดยู-17 ปี อเดบายอร์ ก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ซึ่งเขาทำไป 2 ประตูจากการลงสนาม 9 นัดในฤดูกาลแรกในฐานะนักเตะอาชีพ อย่างไรก็ตาม ดาวรุ่งจากโตโก ก็ไม่สามารถช่วยต้นสังกัดให้รอดพ้นจากการตกชั้นได้ ทว่า ในฤดูกาล 2002-03 อเดบายอร์ ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงด้วยการซัดไปถึง 17 ประตู จาก 35 เกม และทำให้หลายสโมสรในยุโรปให้ความสนใจ รวมถึงทีมดังอย่าง อาร์เซน่อล และ ยูเวนตุส ด้วย
          กระนั้นก็ตาม ทีมที่คว้าตัวเขาไปกลับเป็นทีมในลีก เอิง อย่างโมนาโก ที่ซึ่งเขาช่วยทำ 7 ประตู ใน 17 นัด ให้ทีมทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จากการทำ 2 ประตูใน 10 เกม

          อยู่นาน ในที่สุด อาร์เซน่อล ก็ได้เซ็นสัญญากับ อเดบายอร์ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2006 แบบไม่เปิดเผยค่าตัว แต่สื่อคาดกันว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านปอนด์ (ราว 210 ล้านบาท) เท่านั้น และได้สวมเสื้อหมายเลข 25 แทนที่ของ เอ็นวานโก้ คานู อดีตหัวหอกชาวไนจีเรีย ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าเป็นนักเตะขวัญใจ
         อเดบายอร์ ได้รับสมญานามว่า "เบบี้ คานู" และครั้งหนึ่ง เวนเกอร์ ก็เคยให้คำจำกัดความดาวเตะชาวโตโกตอนที่เซ็นสัญญาว่าเป็น "คานู ที่มีความเร็วบวกด้วย" ในขณะที่สื่อในเมืองผู้ดีกลับให้นิคเนมเขาว่าเป็น "นิว ดร็อกบา" เนื่องจากมีการครองบอลที่ยอดเยี่ยม, ร่างกายที่แข็งแกร่งและโดดเด่นในลูกกลางอากาศ
        เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2006 กองหน้าผิวหมึก ก็ประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีกให้กับ อาร์เซน่อล และใช้เวลาเพียง 21 นาที ก็สามารถพังประตูได้อย่างรวดเร็วและช่วยให้ทีมเอาชนะ เบอร์มิงแฮม 2-0 อย่างไรก็ตาม อเดบายอร์ ไม่มีสิทธิลงเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับต้นสังกัดเนื่องจากติดคัพ-ไทจากการเล่นยูฟ่า คัพ กับ โมนาโก ในช่วงต้นซีซั่นมาแล้ว
        ฤดูกาล 2006-07 อเดบายอร์ ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเขาสามารถเป็นตัวแทนของ อองรี กัปตันทีมที่ได้รับบาดเจ็บได้ และเขาก็กลายเป็นขวัญใจสาวกเดอะ กันเนอร์ส เมื่อเป็นคนทำประตูชัย 1-0 ให้ทีมเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นชัยชนะนัดแรกในฤดูกาลด้วย ก่อนจะจบซีซั่นนั้นด้วยการทำประตูรวมทุกรายการ 12 ลูก
        ในส่วนของฤดูกาล 2008/09 ทีมอาร์เซนอลฟอร์มไม่ดีนัก หัวหอกร่างโย่ง ผลงานได้น้อยกว่าซีซั่นที่ผ่านมา ด้วยจำนวนรวม 16 ประตู จาก 37 นัด

         ล่าสุด ก่อนเปิดฤดูกาล บายอร์ได้ย้ายไปร่วมสังกัดใหม่ แมนเชวเตอร์ ซิตี้แล้ว ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ รับค่าเหนื่อย 170,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ สวมเสื้อเบอร์ 25 ซึ่งเป็นเบอร์เดิม
         ด้าน ผลงานกับทีมชาติ อเดบายอร์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้ โตโก ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเยอรมัน หลังซัดไปถึง 11 ประตูในรอบคัดเลือกโซนแอฟริกา จนทำให้มีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของกาฬทวีปด้วย และแม้ว่า โตโก จะต้องตกรอบแรกหลังพ่ายไป 3 นัดรวด แต่ อเดบายอร์ ก็ได้รับการยอมรับในฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าจะยิงประตูในรอบสุดท้ายไม่ได้เลยก็ตาม
         ทว่า หลังจากนั้น อเดบายอร์ ก็ถูกสมาคมฟุตบอลโตโกหั่นทิ้งจากทีมชาติเนื่องจากมีปัญหาขัดแย้งกันเรื่องการจ่ายโบนัส อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวก็ถูกเรียกกลับมารับใช้ชาติอีกครั้งในช่วงเดือนก.ย. ที่ผ่านมา

ประวัติของ เวสลีย์ สไนเดอร์



ประวัติของ เวสลีย์ สไนเดอร์







เวสลีย์ สไนเดอร์
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ:เวสลีย์ สไนเดอร์
วันเกิด:9 มิถุนายน 1984
เกิดที่:อูเทร็คต์, ฮอลแลนด์
ตำแหน่ง:กองกลางตัวรุก
ส่วนสูง:170 ซม.
สโมสรปัจจุบัน:เรอัล มาดริด
หมายเลขเสื้อ:23

นี่คืออีกหนึ่งผลผลิตโรงเรียนลูกหนังของสโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่กำลังเปล่งประกายโดดเด่นกับบทบาทจอมทัพของทีม "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ที่เวลานี้ใครๆก็ต้องตื่นตากับลีลาลูกหนังของเวสลีย์ สไนเดอร์
จอมทัพฉบับกระเป๋าตัวจริงเสียงจริงของเรอัล มาดริด ที่สร้างผลงานระบือลั่นด้วยการยิงไปถึง 3 ประตูจาก 2 นัดแรก รวมถึงการยิงลูกฟรีคิกที่แม่นยำชนิดสั่งการได้ทำให้สไนเดอร์กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในขณะนี้ของวงการฟุตบอลสเปน
สไนเดอร์ เป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนของอาแจ๊กซ์ อัมสเตเดอร์ดัม ตักศิลาลูกหนังที่ดีที่สุดในโลก แต่ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนอัมสเตอร์ดัมตั้งแต่กำเนิด
เจ้าหนูอัจฉริยะลูกหนังรายนี้เกิดที่อูเทร็คต์ และโชคดีที่ได้เกิดในครอบครัวนักฟุตอลอย่างแท้จริง เมื่อพ่อเคยเป็นอดีตนักเตะเก่ามาก่อนขณะที่เจฟฟรีย์ สไนเดอร์ พี่ชายคนโตก็เล่นให้กับสโมสรสตอร์มโฟเกลส์ เทลสตาร์ รวมถึงน้องชายคนเล็กอย่างร็อดนี่ย์ สไนเดอร์ก็กำลังที่จะขึ้นมาเล่นฟุตบอลอาชีพ
ด้วยความที่เกิดในครอบครัวลูกหนัง ทำให้สไนเดอร์ได้รับการผลักดันจนได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนลูกหนังของอาแจ๊กซ์ที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดของโลกจนได้
สไนเดอร์ใช้เวลาบ่มเพาะฝีเท้าอยู่หลายปีก่อนที่จะได้รับการเรียกตัวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2002-03 และได้ลงสนามเกมแรกในนัดที่อาแจ๊กซ์เอาชนะเอสซี เอ็กเซลไซเออร์ได้ในวันที่ 22 ธ.ค. 2002 (เลข 2 พรึ่บ!) ซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 18 ปีเท่านั้น
ความจริงการที่เจ้าหนูสไนเดอร์ได้รับเรียกตัวก็เพราะเวลานั้นอาแจ๊กซ์ กำลังประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บเต็มไปหมดทำให้โรนัลด์ คูมัน โค้ชในขณะนั้นไม่มีทางเลือกต้องยอมดันเด็กขึ้นมาใช้งาน โดยได้รับคำแนะนำจากแดนนี่ บลินด์โค้ชทีมเยาวชนอาแจ๊กซ์ที่การันตีฝีเท้าให้กับกองกลางฉบับกระเป๋ารายนี้
แต่สไนเดอร์ก็สามารถคว้าโอกาสที่ได้มาโดยบังเอิญของตัวเองเอาไว้ได้ โดยสามารถปักหลักได้ในแดนกลางของอาแจ๊กซ์ โดยมักจะถูกสลับบทบาทไปเรื่อยๆด้วยความสามารถที่ครบเครื่องต้มยำ ทำให้เดี๋ยวก็ได้เล่นตรงกลาง เดี๋ยวก็โดนโยกไปเล่นปีก
ความสารพัดประโยชน์ของสไนเดอร์สามารถช่วยอาแจ๊กซ์ได้มาก เนื่องจากแม้จะมีรูปร่างที่เล็กแต่ก็มีความแข็งแกร่งเกินตัว ยามปักหลักเล่นตรงกลางก็สามารถครองบอล เก็บบอล ปะทะและตัดเกมคู่แข่งได้ และไม่ใช่แค่เกมรับที่ดี เพราะเกมรุกก็สุดยอดเช่นกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจ่ายบอลสั้น-ยาวที่แม่นยำราวจับวาง เล่นได้ทั้งสองเท้า หรือการยิงไกล และการเล่นฟรีคิกที่ไม่ว่าจะเปิดหรือยิงก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน
ความเป็นนักเตะพรสวรรค์ของสไนเดอร์ ทำให้ถูกเรียกตัวติดทีมชาติฮอลแลนด์อย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2003 และก็สามารถปักหลักเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมมาได้โดยตลอด
สไนเดอร์ ใช้ชีวิตเป็นแกนหลักของอาแจ๊กซ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท กัปตันทีมได้ย้ายไปอยู่กับฮัมบูร์ก ทำให้บทบาทสำคัญในแดนกลางของทีมตกอยู่กับจอมทัพฉบับกระเป๋ารายนี้มาโดยตลอด ซึ่งก็รวมไปถึงในทีมชาติฮอลแลนด์ด้วย
และหลังจากที่ฝีเท้าสุกงอมในฤดูกาล 2006-07 ซึ่งสไนเดอร์ทำผลงานได้สุดยอดทำไปถึง 18 ประตูจากตำแหน่งกองกลางทำให้ตกเป็นข่าวว่าอาจจะย้ายไปค้าแข้งในต่างแดนบ้าง และมีข่าวลือกับสโมสรยักษ์ใหญ่มากมาย
แต่สุดท้ายก็เป็น "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ที่ได้ตัวเพชรเม็ดงามจากอัมสเตอร์ดัมเม็ดนี้ไปครอง โดยแบร์นด์ ชูสเตอร์ กุนซือชาวเยอรมันได้ซื้อสไนเดอร์มาด้วยค่าตัวถึงกว่า 27 ล้านยูโร เป็นรองคนเดียวคือรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้ารุ่นพี่ที่อยู่ในซานติอาโก เบอร์นาบิวเหมือนกัน ในครั้งที่ย้ายจากพีเอสวี ไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร
นอกจากสไนเดอร์แล้วยังมีรอยสตัน เดรนเธ่ ดาวรุ่งสารพัดประโยชน์เจ้าของซ้ายเทอร์โบ และอาร์เยน ร็อบเบน ปีกซ้ายจอมกระชากที่ย้ายมาอยู่ร่วมกันในทีมเรอัล มาดริดด้วย แต่ไม่มีใครที่จะเล่นได้เด่นเกินหน้าสไนเดอร์ที่ทำประตูในเกมนัดประเดิมฤดูกาลใหม่ให้ลอส เมเรนเกสเอาชนะแอตเลติโก มาดริด ทีมคู่ปรับร่วมเมืองได้ 2-1 ก่อนที่จะทำอีก 2 ประตูในเกมที่แชมป์เก่าลา ลีกาบุกไปเอาชนะบียาร์เรอัล ได้ถึง 5-0 ซึ่งหนึ่งในนั้นได้จากการยิงฟรีคิกตามสไตล์ด้วย
แม้จะโด่งดังมานานเนื่องจากแจ้งเกิดอย่างรวดเร็ว แต่เส้นทางของสไนเดอร์ในวงการลูกหนังยังเหลืออีกยาวไกลเพราะเพิ่งจะอายุเพียงแค่ 25 ปีเท่านั้น และมีโอกาสจะเป็นนักเตะในตำนานของวงการฟุตบอลฮอลแลนด์ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน









ประวัติของ โรเก้ ซานตา ครูซ


ประวัติของ โรเก้ ซานตา ครูซ

 

โรเก้ ซานตา ครูซ

ดาวยิงจากค่าย "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1981 ที่เมือง อะซุนซิออง เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยสโมสรแรกที่เล่นคือ โอลิมเปีย อะซุนซิออง และด้วยความสามารถที่ล้นเหลือ ซานตา ครูซ สามารถระเบิดฟอร์มยิงกระจุยกระจาย จน หลุยส์ คูบิลล่า กุนซือ โอลิมเปีย อะซุนซิออง ดึงเขาขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 15 ปีเท่านั้น และพออายุ 16 ปี ซานตา ครูซ ก็นำ โอลิมเปีย อะซุนซิออง คว้าแชมป์ลีก ปารากวัย 2 สมัยในปี 1998 และ 1999 รวมทั้งยังได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งประเทศปารากวัย

หลังจากประสบความสำเร็จกับ โอลิมเปีย และติดทีมชาติปารากวัยแล้ว เขาตัดสินใจที่จะเซ็นสัญญาย้ายไปร่วมทีม "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ปี 1999 ในซีซั่นแรก ซานตา ครูซ ยิงประตูให้กับ "เสือใต้" ได้เพียง 5 ประตู เนื่องจากเขาต้องประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บ และต้องแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงในทีม "เสือใต้" เพราะที่นั่นมีกองหน้าเก่งๆ มากมายที่คอยขับเคี่ยวแย่งตำแหน่งดาวยิงตัวจริงกัน

ซานตา ครูซ ลงเล่นให้กับ บาเยิร์น มาแล้ว 6 ฤดูกาล ทำประตูในศึก บุนเดสลีกา 23 ประตู แต่สำหรับซีซั่นนี้ ดาวยิงทีมชาติปารากวัย ได้ลงเล่นเพียง 9 นัด และยิงไป 3 ประตู เนื่องจากยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บตามรังควานอย่างไม่หยุดหย่อน จนที่ในสุดทีมเสือใต้ก็จำใจขายซานตาครูซ ออกไปให้กับ"กุหลาบไฟ" แบล็คเบิร์น โรเวอร์ ในราคาแสนถูก 3.5 ล้านปอนด์

roque

โรเก้ ทำผลงานได้ค่อนข้างดีกับทีมกุหลาบ เขาซัดไป 23 ประตู จาก 53 นัด ทำหน้าที่เป็นคู่หูกองหน้ากับ เบนนี แมคคาธีย์ ได้เป็นอยางดี จนกระทั่งถูกทีมเงินถัง แมนเชสเตอร์ซิตี้ ทุ่มเงินคว้าตัวเขาไปในราคา 17.5 ล้านปอนด์

เกียรติประวัติระดับสโมสร นอกจากจะครองแชมป์ลีก ปารากวัย กับ โอลิมเปีย อะซุนซิออง 2 สมัยแล้ว (1998,1999) ยังครองแชมป์ บุนเดสลีกา กับ บาเยิร์น มิวนิค 4 สมัย (2000, 2001, 2003, 2005), แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยส์ ซูเปอร์คัพ 1 สมัย (2001), แชมป์ เดเอฟเบ 1 สมัย (2001)

ส่วนในนามทีมชาติ ซานตา ครูซ ติดธงไปโม่เกือกในศึก ฟุตบอลเยาวชนโลก ยู-20 ในปี 1999 และในทัวร์นาเมนต์นั้นเขายิงได้ 3 ประตู ซึ่งถือเป็นการสร้างความประหลาดใจให้กับทีมปารากวัยอย่างมาก นอกจากนี้ เขายังถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ ลงทำศึก ชิงแชมป์แห่งชาติอเมริกาใต้ หรือ โคปา อเมริกา ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้นเอง

ซานตา ครูซ ยิงได้ 3 ประตูในครั้งแรกที่ติดทีมชาติปารากวัย ลงทำศึก โคปา อเมริกา และถือเป็นสถิติของปารากวัยด้วย หลังจากนั้น เขาทำได้อีก 7 ประตู ในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือด 2002 และ 2006 และในฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซานตา ครูซ ยิงได้อีก 1 ประตู ช่วยให้ปารากวัยทะลุเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ ก่อนจะพ่าย เยอรมัน 1-0 ยุติเส้นทาง เวิลด์ คัพ ฉบับเอเชีย

แม้ในปัจจุบัน ซานตา ครูซ จะมีปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาเรียกความฟิตเต็มถัง ปารากวัย รวมถึงสโมสรที่ได้ตัวเขา ก็มิอาจขาดดาวยิงคนสำคัญคนนี้ไปได้แม้แต่วินาทีเดียว