วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

โลเปซ: "ฉันมีความสุขกับผลงานของฉัน



วันนี้ผมจะเสนอความสุขคนโลเปซให้ฟังครับ

 ผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดของซิตี้ มาร์กอส โลเปซ ทำประตูได้เริ่มทำครั้งแรกของเขากับสโมสรในศึกฟุตบอลแคปปิตอล วัน คัพ เอาชนะวิแกน และบุกโจมตีกองกลางซึ่งเป็นการทำงานอย่างน่าประทับใจ

           โลเปซปรากฏตัวครั้งแรกของเขาในฐานะผู้แทนในฤดูกาลเอฟเอคัพที่ผ่านมา เอาชนะวัตฟอร์ด ในเกมการแข่งขันนั้น เขายิงเข้าประตูตาข่ายที่สำคัญยิ่งของเขาเป็นครั้งแรก และเจ้านักเตะน้อยโชคร้ายที่การทำประตูของเค้าไม่ได้ถูกนับในช่วงครึ่งแรกของคืนวันอังคาร 
แม้จะโชคร้าย แต่โลเปซก็พอใจกับผลงานของเขา และหวังที่จะเล่นมากขึ้นอย่างสม่ำเสมอกับ มานูเอล เปเยกรินี่ ในอนาคตอันใกล้นี้
เขากล่าว   "มันให้ความรู้สึกที่ดีมากที่ฉันจะได้เล่นในคืนนี้"  "ฉันคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับฉัน และฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด
"ฉันโชคไม่ดีเลยที่ไม่ได้ทำคะแนนเมื่อลูกบอลกระทบคานประตู ถึงอย่างไรฉันมีความสุขกับผลงานที่ฉันทำ ฉันต้องซ้อมและทำงานอย่างหนัก "
ก่อนที่จะมีเกมการแข่งขัน มันมีข่าวลือว่าจะมีลักษณะที่โลเปซเพราะเขาจะถูกตัดออกจากอีดีเอส  (EDS)  ที่เค้าเสียประตูให้กับทีมลิเวอร์พูลในคืนที่ผ่านมา บรรดาแฟนๆของเขารอคอยที่จะเห็นสิ่งที่เขามีและเขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง
เขากล่าวว่า  "มันเป็นสิ่งที่ดีมากที่จะเล่นกับผู้เล่นขนาดใหญ่ในสนามกีฬาขนาดใหญ่"  "มันเป็นที่ยอดเยี่ยม"
"มันเป็นสื่งพิเศษมากที่จะได้รับการยืนปรบมือจากแฟน ๆ ฉันไม่เคยรู้สึกดีอย่างนี้เลย ผมขอขอบคุณพวกเขา"
"ครอบครัวของฉันยังอยู่ที่นี่คืนนี้ พวกเขามักจะสนับสนุนผมและมันมีความหมายมาก. "
โลเปซยังเผยว่าผู้เล่นอาวุโสในทีมได้ช่วยเป็นกำลังใจให้เขาโดยทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในการต้อนรับตั้งแต่เริ่มต้น
เขากล่าว "ก่อนเกมการแข่งขันนั้น ผู้เล่นหลายๆคนบอกฉันว่าพวกเขาไว้ใจในตัวฉันและนั่นทำให้ฉันควรจะไว้วางใจในตัวเอง"   "พวกเขาบอกให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันรู้และมันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันที่จะรู้ว่าพวกเขาไว้วางใจฉัน" "หลังจากเกมการแข่งขัน  แพทริค วิเอร่า บอกว่าฉันทำได้ดีมาก และนั่นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับฉันเพราะเขาเป็นโค้ชของฉันและเขาเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่."

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

Cristiano Ronaldo ประวัตินักเตะคริสเตียโน่ โรนัลโด้

Subject :ประวัตินักเตะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเด่น Euro2012



  ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังจาก เรอัล มาดริด คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดอส ซานโต๊ส อเวโร่ หรือที่เรารูจักกันในนาม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี 1985 ที่เมืองฟันชัล มาเดร่า ประเทศโปรตุเกส โดยครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่ควินตา โด ฟาชาล เมืองซานโต อันโตนิโอ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โรนัลโด้ เริ่มเล่นฟุตบอลบริเวณตามถนนที่นี่ ก่อนที่ พรสวรรค์ที่เต็มเปี่ยม บวกกับทักษะ และความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม สามารถเล่นได้ทั้งปีกขวา และปีกซ้าย จะฉายแวว และสร้างชื่อให้ โรนัลโด้  ได้รับการยกย่องให้ เป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกในปัจจุบันนี้




 ในวันที่ 19 มีนาคม 2008  โรนัลโด้ จะสร้างสถิติเป็นนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ทำประตูได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล โดยทำลายสถิติเดิมของ จอร์จ เบสต์ อดีตดาวเตะระดับตำนานของ “ปีศาจแดง” ที่เคยทำไว้ที่ 32 ประตู ในระหว่างปี 1967-68
โรนัลโด้ ถูก เรอัล มาดริด ให้ความสนใจอีกครั้ง โดยคราวนี้ ทีม “ราชันชุดขาว” ประกาศพร้อมทุ่ม 100 ล้านปอนด์ (6,300 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว โรนัลโด้ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ก็โดน ยูไนเต็ด ปฏิเสธหน้าหงายไปอย่างไม่ใยดี และในวันที่ 10 พฤษภาคม 2008 โรนัลโด้ สามารถยิงประตูสำคัญในเกมนัดสุดท้าย ที่พบกับ วีแกน ให้ทีมออกนำไปได้ 1-0 จากลูกจุดโทษ ซึ่งถือเป็นประตูรวมที่ 41 และประตูที่ 31 ในศึกพรีเมียร์ชิพ ของเขาแล้วในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะมาบวกเพิ่มให้กับตนเองได้อีกหนึ่งลูกในนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะ เชลซี มาได้ ด้วยการดวลจุดโทษ 6-5 ซึ่งถือเป็นถ้วยรางวัลใบทีสองของ ยูไนเต็ด หลังจาก ที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพมาครองได้แล้ว ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ โรนัลโด้ มีสถิติการยิงประตูเป็นรอง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ในปี 2002-2003 อยู่เพียง 2 ลูกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นผลงานที่ดีพอที่จะทำให้ โรนัลโด้ คว้ารางวัล รองเท้าทองคำประจำฤดูกาล 2007-2008 มาครองได้สำเร็จ ยินดีต้อนรับ Gclub ทุกท่านสู่ความบันเทิงรูปเเบบใหม่ พนักงานบริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง โอนเงินสด 100% รวดเร็ว เลือกเล่นตามความพอใจ ความมั่นคงทางการเงินสูง ทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแทงบอลออนไลน์ ไม่ต้องดาวโหลดให้เสียเวลา เล่นง่ายเพร้อมบริการเป็นกันเอง บริการทั้งด้าน คาสิโนออนไลน์ holiday palaec ไพ่ออนไลน์ บาคาร่า รูเล็ต sbobet เป็นต้น ลูกค้านับล้านให้ความนิยมสูงสุดมีลูกค้ามากที่สุด
       สำหรับเส้นทางในทีมชาติโปรตุเกส โรนัลโด้ ติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ในการเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกส ชุดยู-17, ยู-18 และ ยู-21 ปี ตามลำดับ ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ในนัดที่พบกับ คาซัคสถาน เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2003 รวมถึงยังได้ติดทีมแดนฝอยทอง ลงทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 2004 ซึ่งประเทศบ้านเกิดของเขาเป็นเจ้าภาพเอง อีกด้วย และเขาก็สามารถทำประตูได้ในนัดเปิดสนามที่ โปรตุเกส แพ้ กรีซ 1-2
อย่างไรก็ตาม ทีมเจ้าภาพก็ยังดิ้นรนผ่านเข้ารอบต่อไปจนได้ จนมาถึงในรอบรองชนะเลิศ โปรตุเกส ต้องเจอกับ ฮอลแลนด์ ซึ่งพวกเขาก็สามารถเอาชนะไปได้ 2-1 โดยที่ โรนัลโด้ เป็นผู้ยิงประตูแรกให้กับทีมเจ้าถิ่น ทำให้ โปรตุเกส ได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ พบกับ กรีซ อีกครั้ง และทีมเจ้าถิ่นก็ถูก กรีซ ยัดเยียดความปราชัยให้อีกครั้ง ชวดแชมป์ไปแบบพลิกความคาดหมาย


       นอกจากทีมชาติชุดใหญ่แล้ว โรนัลโด้ ยังลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสชุดโอลิมปิก 2004 อีกด้วย โดยตอนนี้เขาลงสนามให้กับทีมชาติไป 24 นัด ทำได้ 10 ประตู โดยในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก โซนยุโรป เขายิงได้ถึง 7 ประตู เป็นรองดาวซัลโวของโซนนี้ รองจาก เปโดร เปาเลต้า กองหน้าทีมเดียวกัน และโรนัลโด้ ก็ยิงประตูแรกในเกมฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน ได้ในเกมที่พบกับ อิหร่าน ในรอบแบ่งกลุ่ม และมีส่วนสำคัญพาทีมสู่รอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ ก่อนที่ทีมชาติ โปรตุเกส จะจอดป้ายแค่เพียงรอบนี้ เท่านั้น  เข้าสู่การแข่งขันในทัวร์นาเม้นต์ ฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก โรนัลโด้ มีเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญที่ผ่านทีมผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ที่ประเทศ ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ได้สำเร็จ โดยเขายิงไปทั้งสิ้น 8 ลูก รวมถึงทำได้ 1 ประตู และจ่าย 1 ประตู ในเกมรอบสุดท้าย ในรอบแบ่งกลุ่ม ที่ทีมเอาชนะ สาธารณรัฐเช็ก มาได้อย่างสวยงาม 3-1 พร้อมกับพาทีมเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนจะไปพ่ายให้กับเยอรมัน 1-2 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย
ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://dscc.pnu.ac.th/index.php?option=com_ccboard&view=postlist&forum=8&topic=8&Itemid=63

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติของ ดาบิด บีย่า ซานเชซ

                                                                               




หนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดของสเปนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คงจะต้องมีชื่อของ ดาวิด บีย่า รวมอยู่ด้วย
อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับบาเลนเซียในฤดูกาล 2004-05 ที่ผ่านม เจ้าของสมญานาม 'El Guaje' (แปลว่าเจ้าหนู ในภาษา Astrian) เป็นหัวหอกที่เปี่ยมไปด้วยทักษะและสัญชาตญาณของการพังประตู การจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม ความเร็วและความครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นการยิงด้วยเท้าและลูกกลางอากาศที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน ก็ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทั้งสโมสรและทีมชาติได้อย่างรวดเร็ว
บีย่า เริ่มต้นการเล่นอาชีพเมื่อปี 1991 กับ ยูพี ลันเกรโอ ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิด ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมสปอร์ติ้ง กิฆอน ในปี 1999 และประเดิมเกมในระดับลีก้า 2 ในฤดูกาล 2000-01 จากนั้น รีล ซาราโกซ่า ก็ได้หยิบยื่นโอกาสให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์ในเกมระดับลา ลีก้า เป็นครั้งแรกในปี 2003
ระหว่างที่ค้าแข้งกับ ซาราโกซ่า เป็นเวลา 2 ฤดูกาล บีย่า ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ ด้วยการเฉือนรีล มาดริด และ สแปนิช ซูเปอร์คัพ ในปี 2004 ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซีย เจ้าของแชมป์ลา ลีก้า ไปได้อย่างพลิกความคาดหมายด้วยฟอร์มการถล่มประตูที่เฉียบขาด ทำให้ "เจ้าค้างคาว" ยอมทุ่มเงิน 12 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านบาท) เพื่อดึงตัว บีญ่า มาร่วมทีมในปี 2005

         ในฤดูกาล 2004-05 บีญ่าก็ตอบแทนค่าตัวได้คุ้มค่าทุกเซนต์เมื่อทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการทำ 25 ประตูจากการลงสนาม 35 นัดในลีก จะเป็นรองก็แค่ ซามูแอล เอโต้ ดาวยิงของบาร์เซโลน่า ที่คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดลา ลีก้า เพียงคนเดียวเท่านั้น โดย เขาสร้างความฮือฮาด้วยการกดแฮตทริกแรกให้บาเลนเซีย ด้วยการใช้เวลาเพียง 5 นาที ในเกมที่บุกไปเอาชนะ แอธเลติก บิลเบา 3-0 เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา

         จากการทำประตูที่คงเส้นคงวาทำให้มีหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปจ้องที่จะคว้าตัวหัวหอกวัย 25 ปีไปล่าตาข่าย ซึ่งรวมถึง เชลซี แชมป์พรีเมียร์ชิพ 2 สมัย แต่ บาเลนเซีย ก็ไม่คิดที่จะปล่อยเสาหลักของทีมรายนี้ไปง่ายๆ จึงได้จับต่อสัญญาอยู่โยงในถิ่นเมสตาญ่า สเตเดี้ยม ไปจนถึงปี 2013

villaในส่วนของทีมชาติ บีย่า ก็มีผลงานที่น่าประทับใจเช่นเดียวกัน โดย อดีตนักเตะตัวหลักของทีมชาติสเปน ชุดยู-21 เลื่อนขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับ ซาน มาริโน่ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2005 นอกจากนั้น ยังช่วยทำยิงประตูในเกมเพลย์ออฟ ฟุตบอลโลก ที่พบกับ สโลวาเกีย ด้วย
หลังจากที่ช่วยพาทีมกระทิงดุผ่านเข้ามาร่วมฟาดแข้งในรอบสุดท้ายที่ประเทศเยอรมันแล้ว บีย่า ดาวยิงตัวเก่งของบาเลนเซีย ก็ยิงได้ 2 ประตูในนัดที่พบกับ ยูเครน และยิงจุดโทษในเกมที่พ่าย ฝรั่งเศส 1-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนจะปิดฉากฟุตบอลโลกครั้งแรกด้วยการทำ 3 ประตูบีย่า
ในปี 2008 สเปนเข้าแข่งฟุตบอลยูโร 2008 เป็นปีที่สร้างชื่อเสียงให้กับบีย่ามากที่สุด ขณะที่ทั้งโลกจับตามอง เฟร์นานโด ตอเรส แต่กลับเป็นบีย่า ที่ระเบิดฟอร์มในทัวร์นาเม้นต์นี้ โดยประเดิมสนามกับทีมรัสเซีย เขากดไปถึง 3 เม็ด!! ซัดแฮทริคให้ทีมถล่มรัสเซียไป 4-1 จบทัวร์นาเม้นต์ สเปนคว้าแชมป์ไว้ได้ และเขาก็ได้ตำแหน่งดาวยิงสูงสุด 4 ประตูด้วย     และในศึก คอนเฟดเดเรชั่นคัพ ที่ผ่านมา บีย่า ซึ่งเป็นกำลังหลักของทีม ทำผลงานได้ 3 ประตูตลอดทัวร์นาเม้น ประตูสำคัญก็คือ การโหม่งประตูชัยให้สเปนเฉือนเอาชนะอิรักไปได้ 1-0 ช่วยให้สเปน ชนะรวด 3 นัด คว้าที่ 1 ของกลุ่มไปอย่างสบาย ก่อนจบทัวร์นาเม้นในอนดับที่ 3 ซึ่งตั้งแต่รอบตัดเชือกมา บีย่า ทำประตูไม่ได้เลย



ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.sport-idol.com

ประวัติของ ชินจิ คางาวะ


                                 
   


ชินจิ คากาวะ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ให้กับสโมสร มาริโนะ ตั้งแต่ปี 1994-1999 ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีม โกเบ เอ็นเค ในปี 1999-2001 และ เอฟซี มิยากิ บาร์เซโลน่า เซนได 2001-2005 กระทั่งทีมงานแมวมองของ เซเรโซ โอซาก้า เห็นแววของดาวเตะร่างเล็กรายนี้ จึงจับมาเซ็นสัญญาให้มาร่วมทีมตอนอายุ 17 ปี ทำให้เขากลายเป็นนักเตะญี่ปุ่นคนแรกที่เซ็นสัญญาเล่นฟุตบอลอาชีพตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมัธยม ไม่นับผู้เล่นที่ถูกดันขึ้นมาจากเยาวชนในเจลีก
  แข้งร่างเล็ก เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกที่มีการเล่นที่โดดเด่น โดยส่วนใหญ่เขาจะได้ลงเล่นในตำแหน่งหลังศูนย์หน้าตัวกลาง และเขาก็ยังสามารถปรับตัวไปเล่นในตำแหน่งอื่นๆ ได้อย่างดีเยี่ยม จากนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ไปเตะตาโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมแชมป์เยอรมันจึงได้ดึงตัวเขาไปร่วมทีมในฤดูกาล 2010 ด้วยค่าตัว 350,000 ยูโร
 คางาวะ ประเดิมสนามให้ "เสือเหลือง" เป็นเกมแรกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคา 2010 แถมกดไป 2 ประตูในศึกยูโรป้า ลีก ที่พบกับ คาราบัก จากนั้นเจ้าตัวทำประตูแรกในบุนเดสลีกาได้ในวันที่ 18 กันยายน 2010 ในเกมที่ดอร์ทมุนด์ พ่ายต่อ ฮันโนเวอร์ ไป 1-2 จากนั้นแข้งกิมจิ ก็โชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมสม่ำเสมอ                                            

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

แว็งซ็องต์ ก็องปานี

แว็งซ็องต์ ก็องปานี  






ก็องปานี นักเตะดาวรุ่งชาวเบลเยี่ยม ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุด ในวงการลูกหนัง ยุโรป เมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) ที่ อูซเคิล, เบลเยี่ยม เคยค้าแข้งอยู่กับสโมสร ฮัมบูร์ก ทีมดังในศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ก่อนย้ายทีมมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเวลาต่อมา โดยเล่นในตำแหน่ง กองหลังตัวกลาง
เริ่มต้นอาชีพค้าแข้่ง
2003-2006 : อันเดอร์เลชท์
ก็ องปานี เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของ อันเดอร์เลชท์ ในบ้านเกิดตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และก็เล่นอยู่ที่นั่นจนกระทั่งอายุ 17 ปี จึงได้รับโอกาสเลื่อนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่
ต้อง นับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวกับนักเตะตำแหน่งกองหลังที่มีโอกาสลงเล่นในทีมชุด ใหญ่ตั้งแต่อายุ 17 ปี เพราะการเล่นหลังนั้น อย่างน้อยที่สุดคงต้องมีประสบการณ์ เพราะไม่อย่างนั้นคงโดนกองหน้าเก่งๆ หลอกล่อจนเสียผู้เสียคน แบบกองหลังดาวรุ่งหลายๆ ดวง
แต่ ทว่าอายุ ไม่ได้เป็นปัญหาของ ก็องปานี แต่อย่างใด เพราะเจ้าตัวก็ได้รับโอกาสลงเล่นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในระยะแรกๆ ไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างถาวรก็ตามที แต่ท้ายที่สุดก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็น 11 คนแรกได้อย่างสมบูรณ์
ตลอด เวลาที่ ก็องปานี ค้าแข้งอยู่ในลีกสูงสุดเมืองบ้านเกิด เจ้าตัวสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถคว้ารางวัลรองเท้าทองคำมา ครองได้หนึ่งสมัย (ปี 2004) ก่อนจะต้องพบกับโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2005-2006 และต้องเข้ารับการผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บในที่สุด
ก็ องปานี ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานานกว่า 2 เดือน ถึงจะกลับมาลงเล่นได้อีกครั้ง และในที่สุดเหตุการณ์ที่แฟนๆ ของ อันเดอร์เลชท์ หวาดกลัวก็เกิดขึ้น เมื่อต้นสังกัดที่อาศัยอยู่เริ่มเล็กเกินไปสำหรับนักเตะที่มีฝีเท้าระดับนี้
จริงๆ แล้วก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เมื่อมีบิ๊กเนมหลากหลายทีมให้ความสนใจที่จะคว้าตัว ก็องปานี ไปร่วมทีม แต่ที่มีข่าวอย่างหนักในช่วงนั้นคือ “โอแอล” โอลิมปิก ลียง ทีมแชมป์จากลีก เอิง แต่ในที่สุดก็เป็น “สิงห์เหนือ” ฮัมบูร์ก ที่มาเหนือเมฆ ได้ตัวไปร่วมทีมชนิดเรียกได้ว่าหักปากกาเซียน
2006-2008 : ฮัมบูร์ก
ใน วันที่ 9 มิถุนายน 2006 ก็องปานี ย้ายสู่ ฮัมบูร์ก ด้วยค่าตัว 8 ล้านยูโร สมัยนั้น ซึ่งคิดเป็น 424 ล้านบาทในสมัยนี้ แต่เมื่อเขาลงสนามให้ทีมไปเพียง 6 นัด เท่านั้น เขาก็มีปัญหาบาดเจ็บรบกวนอย่างรุนแรงในเดือนพฤศจิกายน จนทำให้ต้องพักยาวทั้งฤดูกาล อย่างไรก็ดี เขายังถูกเรียกเป็น 1 ใน 30 นักเตะทีมชาติเบลเยี่ยม ชุดทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2007 ยู-21
เข้า สู่ฤดูกาลที่ 2 ของ ก็องปานี ในแผ่นดิน เยอรมัน แม้เขาจะยังไม่สามารถเรียกฟอร์มการเล่นได้อย่างโดดเด่นเหมือนสมัยก่อน แต่ยังถือได้ว่าทำผลงานได้ตามมาตรฐานที่เขามี โดยนับถึงปัจจุบันลงเล่นให้ “สิงห์เหนือ” ไปแล้วทั้งสิ้น 31 นัด ยิงได้ 1 ประตู ซึ่งนั่น ก็ดีพอที่จะเรียกเขาติดทีมชาติเบลเยียม ชุดลุยศึกโอลิมปิก 2008 ที่ปักกิ่ง ในเดือนสิงหาคม





2008-ปัจจุบัน : แมนเชสเตอร์ ซิตี้
วัน ที่ 22 ตุลาคม 2008 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมที่กำลังปรับทัพเพื่อเบียดแย่งอันดับท๊อปไฟว์ ได้ซื้อตัวกองปานีมาร่วมทีม ในราคา 6 ล้านยูโรโดยได้หมายเลขเสื้อเบอร์ 33 ทำผมงานได้ดีจนได้รับเลือกจากมาร์ค ฮิวจส์ ผู้จัดการทีม ให้ลงเล่นเป็นตัวจริงอยู่บ่อยๆ
ขอขอบคุณขอมูลจาก http://www.sport-idol.com
 

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

คลาส ยาน ฮุนเตลาร์



คลาส ยาน ฮุนเตลาร์






















จาก "เพชฌฆาตพรายกระซิบ" สู่ดาวยิงหน้าม้า รุด ฟาน นิสเตลรอย มาถึงทายาทดาวยิงคนล่าสุดของวงการฟุตบอลแดนกังหันลม "เดอะ ฮันเตอร์" คลาส ยาน ฮุนเตลาร์ ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ของแฟนบอลฮอลแลนด์ทุกคนคลาส ยาน ฮุนเตลาร์ เกิดที่อาชเตอร์โฮค หมู่บ้านเล็กๆในเดรมพต์ เป็นสมาชิกคนเล็กของบ้านฮุนเตลาร์ โดยมีพี่น้อง 2 คนซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดคือนีค และเยล ฮุนเตลาร์ ซึ่งจากการที่พี่ทั้งสองคนเล่นฟุตบอลทำให้เจ้าหนูคลาส ยาน ของเราก็เล่นตามไปด้วยโดยเล่นในทีมเยาวชนท้องถิ่นเล็กๆที่ชื่อประหลาดๆว่า v.v.H. en K.เจ้าหนูคลาส ใช้เวลาร่ำเรียนวิชาลูกหนังในทีมนี้นานถึง 6 ปีและถูกแมวมองของทีมโก อเฮด อีเกิลส์ จีบตั้งแต่ยังอายุไม่กี่ขวบเนื่องจากพรสวรรค์ในเกมลูกหนังเตะตาแมวมองเต็มๆแต่สุดท้ายครอบครัวของฮุนเตลาร์ กลับปฏิเสธโอกาสดังกล่าวไปเนื่องจากติดปัญหาในเรื่องของการเดินทาง แต่สุดท้ายเขาก็ได้เซ็นสัญญาเป็นักเตะเยาวชนของทีมเดอ ราฟส์ชาพ เมื่ออายุครบ 11 ปีในช่วง 2 ปีแรกที่เล่นให้กับเดอ กราฟส์ชาพนั้น คลาส ยาน ฮุนเตลาร์ ได้เล่นในหลากหลายตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นแบ็กซ้าย ปีกซ้าย กองกลางตัวรุก หรือแม้แต่เป็นผู้รักษาประตู ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้เรียนรู้ถึงเกมลูกหนังจากมุมมองที่แตกต่างกันจวบจนเข้าสู่ปีที่ 3 ของการเป็นนักเตะเยาวชนเขาก็ได้เล่นเป็นศูนย์หน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาถนัดที่สุดและเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดด้วย และในช่วงวัย 14 ปี ฮุนเตลาร์ ก็สร้างชื่อด้วยการเล่นให้กับทีมชุดซี ของเดอ กราฟส์ชาพ และยิงไปถึง 33 ประตูจาก 20 นัดเท่านั้นผลงานดังกล่าวทำให้เขาโดนดันขึ้นสู่ทีมชุดบี1 และก็ยังคงถล่มประตูเป็นว่าเล่นอีก 31 ลูกในฤดูกาล 1999-00 จนทำให้ทีมยักษ์ใหญ่อย่างพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น เซ็นสัญญาคว้าตัวไปร่วมทีมในเดือน มิ.ย.ปี 2000แม้จะย้ายไปอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่แต่ฮุนเตลาร์ ยังคงมีระดับฝีเท้าที่เหนือกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่างเห็นได้ชัดและก็กลายเป็นดาวซัลโวของลีกระดับเยาวชน แต่ก็ยังคงใช้เวลาในปีแรกกับทีมเอ1 ของพีเอสวีไปก่อน จนกระทั่งขวบปีที่สองถึงได้ถูกกุส ฮิดดิ้งค์ ซึ่งเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่ในขณะนั้นดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่อย่างไรก็ตาม ฮุนเตลาร์ ไม่สามารถที่จะเบียดแทรกตัวเข้าทีมชุดใหญ่ของพีเอสวีได้ โดยเขาได้เล่นนัดประเดิมสนามด้วยการลงไปแทนดาวยิงประจำทีมอย่างมาเตย่า เคซมัน ในวันที่ 23 พ.ย.2002 ซึ่งพีเอสวีชนะขาดลอย 3-0 เหนืออาร์บีซี รูเซนดาล แต่นั่นก็เป็นการเล่นเพียงนัดเดียวในชีวิตของเขากับพีเอสวีฮุนเตลาร์ โดนส่งตัวให้กับเด กราฟส์ชาพ สโมสรเก่าใช้งานเพื่อเก็บประสบการณ์อีกครั้ง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาผิดหวังเมื่อได้ลงเล่นแค่ 9 นัดและทำประตูไม่ได้เลย ซึ่งเด กราฟส์ชาพ ก็ตัดสินใจที่จะไม่เซ็นสัญญากับเขาอย่างถาวรความล้มเหลวในครั้งนี้ทำให้ฮุนเตลาร์ โดนส่งตัวไปให้กับสโมสรเล็กๆอย่างอาโกฟฟ์ อาเพลดูร์น ยืมตัวไปใช้งาน แต่ครั้งนี้มันถึงเวลาที่เพชฌฆาตหน้าใสจะแจ้งเกิดเสียที เมื่อเขายิงประตูได้ตั้งแต่เกมแรกที่ได้ลงเล่น และจากนั้นเขาก็เหมือนกับลูกระเบิดที่รอวันปลดชนวนอยู่นาน ฮุนเตลาร์ ยิงประตูได้เป็นว่าเล่นถึง 26 ประตูจาก 35 นัดในลีกและจบฤดูกาลด้วยการเป็นดาวซัลโวในที่สุด ทำให้ทีมอาโกฟฟ์ ถึงกับตั้งชื่ออัฒจันทน์ฝั่งหนึ่งว่าเป็น "คลาส ยาน ฮุนเตลาร์" เพื่อระลึกถึงจอมล่าตาข่ายรุ่นเยาว์เลยแจ้งเกิดไม่ทันไร ฮุนเตลาร์ ก็ต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางอนาคตของตัวเองเป็นครั้งแรกเมื่อพีเอสวี ยื่นสัญญาฉบับใหม่มาให้เซ็น แต่เขากลับเลือกที่จะปฏิเสธมันและเซ็นสัญญาย้ายไปอยู่กับฮีเรนวีน ด้วยค่าตัวเพียงแค่ 100,000 ยูโรเท่านั้น ซึ่งกลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของฮีเรนวีนฮุนเตลาร์ ยิงประตูได้ตั้งแต่เกมแรกก่อนที่จะยิงรวมได้ถึง 17 ประตูจากการเล่น 31 นัดในฤดูกาลแรกกับฮีเรนวีน และมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกในฤดูกาลที่ 2 ของเขาในปี 2005-06 เมื่อจบช่วงแรกของฤดูกาลเขาทำไปแล้วถึง 17 ประตูจากการเล่นแค่ 15 นัดเท่านั้นผลงานร้อนแรงดังกล่าวทำให้อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ตัดสินใจดึงตัวไปร่วมทีมทันทีด้วยค่าตัวถึง 9 ล้านยูโรเลยทีเดียวทว่าการเริ่มต้นกับทีมใหม่ครั้งนี้ไม่สวยงามเหมือนทุกครั้ง เมื่อเขาต้องใช้เวลานานถึง 5 นัดกว่าจะยิงประตูแรกให้กับทีมใหม่ได้ แต่หลังจากที่ยิงได้ฮุนเตลาร์ ก็ทำประตูได้เป็นว่าเล่นโดยในเดือน ก.พ. เพียงแค่เดือนเดียวก็ยิงไปถึง 9 ประตูจาก 7 นัดที่เล่นให้กับอาแจ๊กซ์จบฤดูกาล 2005-06 ฮุนเตลาร์ ยิงรวมได้ถึง 33 ประตูจาก 31 นัดในลีกที่เล่นให้กับฮีเรนวีนและอาแจ๊กซ์ คว้ารางวัลดาวซัลโวไปครองแบบไร้คู่แข่งในฤดูกาลต่อมา ฮุนเตลาร์ ก็ยังคงทำผลงานได้ร้อนแรงเหมือนเดิม โดยในช่วงก่อนออกสตาร์ทฤดูกาลก็ไปสร้างชื่อด้วยการทำประตูแรกในสนามเกมเปิดเอมิเรตส์ สเตเดียม ของทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล ในเกมเทสติโมเนียลแมตช์ของเดนนิส เบิร์กแคมป์ตำนานของทีมกันเนอร์สและเคยเป็นเด็กปั้นของอาแจ๊กซ์ด้วย แต่สุดท้ายอาร์เซนอลก็ชนะไปในเกมดังกล่าวด้วยสกอร์ 2-1หลังจากนั้นฮุนเตลาร์ ก็ยิงเป็นว่าเล่นไม่ว่าจะในรายการพรีเมียร์ดัตช์ หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และยูฟ่า คัพ ที่อาแจ๊กซ์ต้องร่วงลงมาเล่นหลังตกรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเขาก็ยิงไปถึง 8 ประตูจาก 7 นัดก่อนจะยิงรวมในลีกได้ 21 ประตูแต่โชคร้ายที่อาแจ๊กซ์ต้องพลาดแชมป์แบบหวุดหวิดในเกมสุดท้าย จนต้องเพลย์ออฟเพื่อหาทีมไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งสุดท้ายก็เอาชนะฮีเรนวีนทีมเก่าของพวกเขาและอาแซด อัลก์มาร์ ได้ตั๋วเข้าไปเล่นในถ้วยใบใหญ่ของยุโรปอีกครั้งทว่าอาแจ๊กซ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับฤดูกาล 2007-08 เมื่อสองตัวหลักอย่างเวสลีย์ สไนเดอร์และไรอัน บาเบลย้ายออกไป ทำให้อาแจ๊กซ์เสียสูญและต้องรวงตกรอบคัดเลือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อแพ้สลาเวีย ปราก และยังมาตกรอบแรกในศึกยูฟ่า คัพ อีกด้วยน้ำมือของดินาโม ซาเกร็บด้วยอย่างไรก็ดีฮุนเตลาร์ ยังคงทำผลงานได้ดีในลีกโดยทำคนเดียวถึง 4 ประตูในเกมแรกของฤดูกาลที่ต้องพบกับทีมเก่าของเขา เดอ กราฟส์ชาพที่เพิ่งเลื่อนชั้นมา ซึ่งอาแจ๊กซ์บุกไปชนะได้ถึง 8-1 และยังยิงประตูเรื่อยมาจนเวลานี้ซัดไปแล้ว 9 ประตูจาก 7 นัด และจะยังคงยิงต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งส่วนในเวทีทีมชาตินั้น ฮุนเตลาร์ ได้รับโอกาสจากมาร์โก ฟาน บาสเท่น ให้เข้ามาติดทีมชาติในช่วงหลังฟุตบอลโลก 2006 และตอบแทนความไว้วางใจด้วยการทำ 2 ประตูในเกมแรกที่พบกับไอร์แลนด์ แต่หลังจากนั้นก็ยังทำประตูไม่ได้และโดนรุ่นพี่อย่างรุด ฟาน นิสเตลรอยกลับมาเบียดตำแหน่งเสียด้วย
ฤดูกาล 2008/09 เป็นช่วงชีวิตที่แปรผันของฮุนเตล่าร์ เมื่อทีมราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ซื้อตัวเขามาร่วมทีมด้วยจำนวนเงินมูลค่า 27 ล้านยูโร ซึ่งฤดูกาลแรกของฮุนกับทีมใหม่ถือว่าทำได้พอใช้ ลงเป็นตัวจริง 11 นัด(ทั้งหมด 20 นัด) ทำได้ 8 ประตูแต่อนาคของเขากับทีม เริ่มไม่ดีนัก จากการมาของประธานหน้าเก่าคใหม่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ซึ่งมีนโยบายทำทีมแบบกาลาคติกอส โดยได้กว้านซื้อนักเตะซูเปอร์สตาร์มาเพียบ รวมถึงในแดนหน้าอย่าง คาริม เบนเซม่าด้วย ซึ่งพอบวกรวมกับตัวเก่าๆคนอื่นแล้ว คงต้องเอาใจช่วยกันว่า ถ้าเขาอยู่กับทีมต่อไป เขาจะได้ลงเล่นมากน้อยขนาดไหน

ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.sport-idol.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โจ ฮารท์นายด่านมากประสบการณ์

โจ ฮารท์นายด่านมากประสบการณ์




นายด่านมากประสบการณ์มือหนึ่งของ"สิงโตคำราม"ทีมชาติอังกฤษ ถึง แม้สุดท้ายทีมของเขาจะไปไม่ถึงฝันพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับ ทีมชาติอิตาลี แต่นายด่านแมนฯซิตี้ คนนี้ก็มีส่วนอย่างมากในการช่วยเซฟประตูที่สำคัญหลายประตูในเกม...

ชื่อ : โจ ฮาร์ท / Joe Hart
วันเดือนปีเกิด : 19 เมษายน 1987 
สถานที่เกิด : ชริวบิวรี ชโรปเชียร์ ประเทศอังกฤษ
ส่วนสูง : 196 เซนติเมตร
อาชีพ : นักฟุตบอล (ผู้รักษาประตู)
สโมสรปัจจุบัน: แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

ประวัติครอบครัว
- ฮาร์ท เป็นลูกชายของ ชาร์ลส์ และหลุยส์ ฮาร์ท โดยเขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนประถม อ็อกซอน

ประวัติการเล่นฟุตบอล
ระดับอาชีพ
- 2006-ปัจจุบัน แมนฯซิตี้ (ยืมตัวไปเล่นให้กับ ทรานเมียร์ ปี 2007, แบล็กพูล ปี 2007, เบอร์มิงแฮม ปี 2009-2010)
-2003-2006 ชรูวบิวรี ทาวน์

ระดับเยาวชน
- ชรูวบิวรี 

ระดับทีมชาติ
2008-ปัจจุบัน ทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่
2007-2009 ทีมชาติอังกฤษ ชุดยู-21
2005-2007 ทีมชาติอังกฤษ ชุดยู-19

เกียรติประวัติและผลงานที่ผ่านมา 

ระดับ สโมสร 
แมนฯซิตี้ : 
- แชมป์เอฟเอคัพ (2010-11)
- แชมป์ พรีเมียร์ลีก (2011-12)

แบล็กพูล : 
- แชมป์เพลย์ออฟ ลีกวัน (2006-07)

ระดับส่วนตัว 
- บาร์เคลย์ โกลเดน โกลฟ 2 สมัย (2010-11, 2011-12)
- ทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก 2 สมัย (2009-10, 201-2012)
- ทีมยอดเยี่ยมลีกทู 1 สมัย (2005-06)
- นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเบอร์มิงแฮม (2009-10)

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เอดิน เซโก กองหน้าจอมเปลี่ยนเกม


เอดิน เซโก กองหน้าจอมเปลี่ยนเกม


หนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในบุนเดสลีก้า 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ย่อมมีชื่อของ เอดิน เซโก้ รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย และฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงของเขาก็ทำให้ยักษ์ใหญ่ของยุโรปหลายทีมจ้องจะคว้า ตัวไปร่วมทีม


หลายคนอาจจะยังไม่เคยทราบว่า ก่อนที่จะมาเป็นหัวหอกเนื้อหอมอย่างเช่นทุกวันนี้ เซโก้ เริ่มต้นการเล่นอาชีพในฐานะมิดฟิลด์ร่วมกับทีมเล็กๆ ที่ชื่ออ่านยากอย่าง Zeljeznicar ระหว่างปี 2003-05 แต่ไม่สามารถโชว์ฟอร์มให้เข้าตาโค้ชได้ จึงถูกส่งตัวไปให้ อุสตี้ นาด ลาเบม ใช้งานในปี 2005 ซึ่งเขาสามารถทำได้ 6 ประตูจากการลงสนาม 15 เกม

หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เซโก้ ก็ตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับ เท็ปลิเซ่ ทีมในพรีเมียร์ลีก สาธารณรัฐเช็ก ซึ่งที่นี่ดาวรุ่งชาวบอสเนียน สามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจและทำได้ถึง 16 จาก 28 เกม และคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของลีกเช็กประจำฤดูกาล 2006-07 ไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม

การเปลี่ยนจากตำแหน่งกองกลางมาเป็นกองหน้าอย่างเต็มตัวนั้นทำให้ เซโก้ ฉายแววได้อย่างเต็มที่ และฤดูกาลอันสุดยอดของเขาก็ทำให้ เฟลิกซ์ มากัธ กุนซือโวล์ฟสบวร์ก ในเวลานั้น ตัดสินใจซื้อเขาเข้ามาเป็นนักเตะใหม่ของทีม "หมาป่า" ด้วยค่าตัว 4 ล้านยูโร (ราว 180 ล้านบาท)

เซโก้ แทบไม่เสียเวลาในการปรับตัวกับลีกใหม่ และสามารถกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลโวล์ฟสบวร์กได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทำได้ 5 ประตูและทำแอสซิสต์ให้เพื่อนอีก 3 ครั้งในการลงเล่น 11 เกมแรก ซึ่งผลงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับการเลือกจาก "สปอร์ตัล" ให้เป็นกองหน้าที่ดีสุดของบุนเดสลีก้าประจำครึ่งฤดูกาล 2007-08

ฤดูกาลแรกของ เซโก้ กับ "หมาป่า" ถือว่าน่าพอใจเนื่องจากทีมจบด้วยการคว้าอันดับ 5 ของตาราง ซึ่งทำให้สโมสรได้สิทธิไปเล่นในฟุตบอลยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 2008-09 โดย เซโก้ ทำไปทั้งหมด 8 ประตูและ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่นเป็นตัวจริง 17 นัด
หลังจากที่ โวล์ฟสบวร์ก ได้เพื่อนร่วมทีมชาติบอสเนียอย่าง ซเวซดาน มิซิโมวิช มาร่วมทีม ฟอร์มการเล่นของ เซโก้ ก็กระฉูดยิ่งกว่าเดิมในฤดูกาลที่ 2 ของเขากับทีม

แม้ว่าจะออกสตาร์ทได้ค่อนข้างจะฝืดในช่วงครึ่งซีซั่นแรก แต่หลังจากนั้น โวล์ฟสบวร์ก ก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางก่อนจะผงาดคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าได้เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์สโมสร โดยในเดือน พ.ค. 2009 เซโก้ ทำแฮตทริกได้ในเกมที่พบกับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ และจากนั้นก็กดแฮตทริกอีกครั้งในเกมพบกับ ฮันโนเวอร์ ในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา

ดาวยิงบอสเนีย จบซีซั่นด้วยการซัดไปทั้งหมด 26 ประตูในลีกกับอีก 10 แอสซิสต์ ในการลงสนาม 32 นัด โดยเขาเป็นรองเพียงแค่ กราฟิเต้ หัวหอกเพื่อนร่วมทีมคนเดียวท่านั้น (28 ประตู) โดยทั้งคู่เป็นคู่กองหน้าที่ประสานงานกันได้มีประสิทธิภาพที่สุดในประวัติ ศาสตร์บุนเดสลีก้าเลยทีเดียว

ในศึกเดเอฟเบ โพคาล เซโก้ ทำไป 6 ประตูในการลงสนามแค่ 2 นัดและในศึกยูฟ่า คัพ เขาก็กดไปอีก 4 ประตู 2 แอสซิสต์ใน 8 เกม และฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมเหล่านี้ทำให้ เซโก้ ได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของบุนเดสลีก้าไปครองแม้ว่าจะได้รับความ สนใจจากเอซี มิลาน แต่ เซโก้ ก็ตัดสินใจอยู่กับโวล์ฟสบวร์กต่อไป ด้วยการเซ็นสัญญาใหม่จนถึงเดือน มิ.ย. 2013

เซโก้ พังประตูแรกในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2009 ในการเจอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งโวล์ฟสบวร์ก พ่ายไป 2-1 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และเขาก็มีชื่อติด 1 ใน 30 คนสุดท้ายที่มีชื่อลุ้นรางวัลบัลลง ดอร์ ประจำปี 2009 ด้วย

ฤดูกาล 2009-10 ของ "หมาป่า" ไม่ค่อยดีนักเมื่อหมดลุ้นป้องกันแชมป์ตั้งแต่ไก่โห่ และยังจอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่มในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย แต่ผลงานการถล่มประตูของ เซโก้ ก็ยังคงดีต่อเนื่องและนั่นทำให้ มิลาน ยื่นความสนใจเข้ามาอีกครั้ง เช่นเดียวกับ เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีข่าวว่าแอบเล็งหัวหอกรายนี้ไว้เช่นกั

ในส่วนของทีมชาติ เซโก้ ซึ่งเกิดในอดีตยูโกสลาเวีย ได้เปลี่ยนสัญชาติมาเป็นบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า และลงเล่นในชุดอายุไม่เกิน 19 ปี และนอกจากนั้น ยังเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดยู-21 ปี ที่ได้เล่นรอบเพลย์ออฟ ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2007 ด้วย

จากนั้น เขาก็เลื่อนชั้นขึ้นสู่ทีมชาติชุดใหญ่ และลงประเดิมสนามนัดแรกกับตุรกี เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2008 โดย เซโก้ สามารถพังประตูแรกได้ทันทีจากลูกวอลเลย์บริเวณกรอบเขตโทษ ซึ่งช่วยให้ทีมตีเสมอเป็น 2-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนที่ บอสเนีย จะเป็นฝ่ายคว้าชัยในท้ายที่สุด 3-2

เซโก้ ทำได้ทั้งหมด 9 ประตูในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 และจบด้วยการเป็นรองดาวซัลโวของโซนยุโรป เท่ากับ เวย์น รูนี่ย์ หัวหอกทีมชาติอังกฤษ โดยเป็นรอง ธีโอฟานิส เกคัส ของกรีซ ที่ทำได้ 10 ประตูเพียงคนเดียว และในเดือน ธ.ค. 2009 เขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของบอสเนียด้วย

ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : เอดิน เซโก้
วันเกิด : 17 มีนาคม 1986
เกิดที่ : ซาราเยโว, ยูโกสลาเวีย (ปัจจุบันเป็นบอสเนียฯ)
ตำแหน่ง : กองหน้า
ส่วนสูง : 194 ซม.
สโมสรปัจจุบัน : โวล์ฟสบวร์ก
หมายเลขเสื้อ : 9
เอดิน เซโก กองหน้าจอมเปลี่ยนเกม ยืนยันไม่อยากสร้างชื่อกับทีม"เรือใบสีฟ้า"แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก 2011-12 ในฐานะซูปเปอร์ซับ พร้อมตั้งเป้าจะยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมให้ได้เอดิน เซโก ดาวยิงบอสเนีย ยืนยันไม่ขอรับบทบาทเป็นซุปเปอร์ซับ ให้ทีม"เรือใบสีฟ้า"แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปตลอดกาล ลั่นต้องการโอกาสสร้างชื่อในฐานะตัวจริงของทีมมากกว่านี้

เซโก กล่าวว่า"โรแบร์โต มันชินี ผู้จัดการทีมเป็นคนเลือกที่จะให้ใครอยู่ในทีมและผมก็อยากให้ทีมต้องการผม ก่อนที่ผมจะมาเล่นให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผมไม่เคยเป็น ซุปเปอร์ซับ มาก่อน"ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เซโก รับบทเป็นฮีโร่เหมาสองประตูช่วยทีมเอาชนะ เวสต์บรอมวิช ไปอย่างเฉียดฉิว 2-1 หลังถูกเปลี่ยนลงสนามในช่วง 11 นาทีสุดท้าย ทำให้ในฤดูกาลนี้ แข้งชาวบอสเนียมีประตูที่ลงไปยิงในฐานะตัวสำรองแล้ว 4 ประตูจากทั้งหมด 6 ประตู ซึ่งตัวของ เซโก เองก็มีความสุขกับผลงานที่ทำแต่ก็ปฏิเสธที่จะเป็นตัวสำรองตลอดกาล"ผมมักจะได้เป็นตัวจริงเสมอตั้งแต่เริ่มค้าแข้งให้กับโวล์ฟสบวร์กและผมก็ทำประตูได้มากมายซึ่งมันไม่ใช่ในบทบาทของตัวสำรอง หลายเกมที่ผ่านมาผมก็มีความสุขที่ยิงประตูได้ แต่ผมจะไม่ยอมเป็นเพียงซุปเปอร์ซับ ผมต้องการที่จะได้ลงสนาม

เจ้าหนู เมสซี่ นักเตะรูปหล่อ ฝีเท้าดีระดับโลก


เจ้าหนู เมสซี่ นักเตะรูปหล่อ ฝีเท้าดีระดับโลก


ลิโอเนล เมสซี่
ลิโอเนล เมสซี่

ลิโอเนล เมสซี่
ลิโอเนล เมสซี่

ลิโอเนล เมสซี่
ลิโอเนล เมสซี่

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  fcbarcelona.comfunmunch.comuk.eurosport.yahoo.com,footballpictures.net

         กำลังโด่งดังไปทั่วโลก และเป็นขวัญใจทั้งหนุ่ม ๆ คอบอล ที่ชอบกีฬาฟุตบอล รวมไปถึงเป็นขวัญใจของสาว ๆ ที่หลงใหลใน ความหล่อเหลาของหนุ่มนักเตะหน้าหล่ออย่าง เมสซี่ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ หนุ่มคนนี้มีสไตล์การเล่นบอลที่โดด เด่นไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะลีลาการลากเลี้ยงสไตล์บาร์เซโลน่า จนทำให้ตอนนี้นับได้ว่า เมสซี่ เป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว 

          เมสซี่ มีชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ.1987 (พ.ศ.2530) เมสซี่ เป็นเด็กหนุ่มที่ เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า เมสซี่ เริ่มเล่นกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ โดยได้เข้าอยู่ในสโมสรที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ซึ่งเป็นสโมสรเล็ก ๆ มีพ่อเป็นโค้ชให้ จนเมื่อปี 1995 (พ.ศ.2538) เมสซี่ จึง ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่า และเป็นสโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนติน่า ชื่อสโมสร นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเรียนวิชาฟุตบอลที่เข้มข้นมาเรื่อย ๆ

          เมื่ออายุ 11 ปี เมสซี่ ก็ได้เข้าร่วมสังกัด นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เป็นทางการอย่างเต็มตัวแต่ดูเหมือนว่าเส้นทางนักเตะของเขาจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด เมื่อมีเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้ไปต่อในสนามค้าแข้ง นั่นก็คือการที่ เมสซี่ ร่างกายเล็กและมีปัญหาทางด้านการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวหายไป

          แต่สวรรค์ก็เข้าข้าง เมสซี่ เมื่อ การ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของบาร์เซโลน่า ได้เห็นฟอร์มการเล่นฟุตบอลของเมสซี่ แล้วประทับใจในฝีเท้าของเมสซี่ จึงได้ยื่นข้อเสนอว่าทางบาร์เซโลน่าจะจ่ายเงินค่ารักษา และเมสซี่ได้ย้ายไปอยู่ที่สเปนพร้อมทั้งครอบครัว เพื่อฝึกฝนฝีเท้ากับทีมบาร์เซโลน่า

          จากนั้นภายในเวลาอันรวดเร็ว เมสซี่ ก็ได้ก้าวขึ้นเป็นดาวเด่นในทีมเยาวชนของบาร์เซโลน่า และได้เข้าสู้ทีมบาร์เซโลน่า บี เป็นเวลาต่อมา พร้อมทั้งได้มีผลงานดีเรื่อยมา จนปลายฤดูกาล 2004เมสซี่ ก็ได้โอกาสเข้ามาอยู่กับทีมชุดใหญ่ ของบาร์เซโลน่า และถือเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในทีมบาร์เซโลน่า วัยเพียงแค่ 17 ปี เท่านั้น

          ทั้งนี้ถึงแม้ว่า เมสซี่ จะอยู่ในสังกัดทีมบาร์เซโลน่า แต่เค้าก็ยังมีความรักบ้านเกิด เขาได้กลับมาเป็นทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนติน่า ถึงแม้ว่าทีมชาติสเปนจะเสนอให้เขาร่วมเล่นในทีมชาติสเปนด้วยแต่ เขาก็ปฏิเสธไป 

          อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ในสเปน ได้ตั้งให้ฉายาให้แก่ เมสซี่ ว่า "เมสซี่โดน่า" เพราะมีฝีเท้าเด็ด ไม่แพ้ "ดิเอโก้ มาราโดน่า" นักเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลของโลก หลายคนยกย่องว่าเขาคือนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก และคือนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของอาร์เจนติน่า และล่าสุดจากนัดที่เอาชนะ อาร์เซนอล ไปถึง 4-1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่เมสซี่ โชว์ซัลโวคนเดียว 4 ประตู ยิ่งทำให้แฟน ๆ บอลของ เม สซี่ ก็ต่างออกมาเชิดชูว่า เมสซี่ เป็นนักบอลที่มีฝีเท้าโดดเด่นหาตัวจับยาก เหมือนกับ "ดิเอโก้ มาราโดน่า" ไม่มีผิดเพี้ยนเลย ทีเดียว

ประวัติส่วนตัวของ เมสซี่

          ชื่อเต็ม: ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่
          วันเกิด: 24 มิถุนายน ค.ศ.1987 (พ.ศ.2530)
          สถานที่เกิด: โร ซาริโอ , ประเทศอาร์เจนติน่า
          ส่วนสูง: 169 เซนติเมตร (5 ฟุต 6 นิ้ว)
          น้ำหนัก: 67 กิโลกรัม
          ฉายา: เมสซิโดน่า, ลีโอ
          ตำแหน่ง: กอง หน้าตัวต่ำ/กองกลาง ตัวรุก
          สโมสรปัจจุบัน : บาร์เซโลน่า
          หมายเลข: 10

ประวัติการค้าแข้งของ เมสซี่

         ค.ศ.1995 - ค.ศ.2000 (พ.ศ.2538 – พ.ศ.2543): นักเตะฝึกหัดของสโมสร นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์    
         ค.ศ.2000 - ค.ศ.2004  (พ.ศ.2543 – พ.ศ.2547): นักเตะฝึกหัดของสโมสร บาร์เซโลน่า     
         ค.ศ.2004 – ปัจจุบัน (พ.ศ.2547 – ปัจจุบัน): สโมสร บาร์เซโลน่า   
         ค.ศ.2005 - ปัจจุบัน (พ.ศ.2548 – ปัจจุบัน): ทีมชาติอา ร์เจนติน่า

เกียรติยศระดับทีมชาติ (ทีมชาติอาร์เจนตินา)

         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) : แชมป์ฟุตบอลโลกรุ่น อายุไม่เกิน 20   
         ค.ศ.2007 (พ.ศ.2550) : รองแชมป์ โคปปาอเมริกา
         ค.ศ.2008 (พ.ศ.2551) : เหรียญทองโอลิมปิก  

เกียรติยศระดับสโมสร (ทีมบาร์เซโลน่า)

         ค.ศ.2004 (พ.ศ.2547), ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548), ค.ศ.2008 (พ.ศ.2548) (พ.ศ.2551):แชมป์ลาลีกาสเปน  
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548), ค.ศ.2008 (พ.ศ.2551)  : แชมเปียนส์ลีกยูฟ่า
         ค.ศ.2008 (พ.ศ.2551): แชมป์โคปปา เดลเรย์
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548), ค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) : แชมป์ซูปเปอร์โคปา สเปน Supercopa de Espana

เกียรติยศส่วนตัว

         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548): นักเตะยอดเยี่ยม (Golden Ball) ฟุตบอล โลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548): ดาวซัลโว (Golden Boot) ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548): นักเตะดาวรุ่งยอด เยี่ยม (Golden Boy)
         ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548): นักเตะอาร์เจนตินา แห่งปี (Olimpia de Plata)
         ค.ศ.2006 (พ.ศ.2549): นักเตะดาวรุ่งแห่งปี ของฟีฟ่า (FIFPro)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
sport-idol.comth.wikipedia.org

ดาวิด ซิลบา นิว ไอมาร์ แดนกระทิง


ดาวิด ซิลบา นิว ไอมาร์ แดนกระทิง 


       
       สำหรับชื่อของ ดาวิด ซิลบา ปรากฎเป็นครั้งแรกในโลกของฟุตบอลที่สโมสร "ค้างคาว" บาเลนเซีย กับการเล่นในทีมเยาวชน ก่อนถูกปล่อยให้ เอสดี ไอบาร์ ยืมตัวไปใช้งานในฤดูกาล 2004 จากนั้นฤดูกาลถัดมาก็ถูกส่งตัวไปหาประสบการณ์กับ เซลตา บีโก อีก 1 ฤดูกาล
       
       กระทั่งดาวรุ่งจอมเลื้อยรายนี้ติดทีมชาติสเปนชุดลุยฟุตบอลเยาวชนโลก อายุไม่เกิน 21 ปี ในปี 2005 พร้อมกับซัดได้ 4 ประตู จนต้นสังกัดต้องเรียกตัวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ ซึ่งจุดเด่นของ ซิลบา คือการลากเลื้อยที่ถือเป็นสุดยอดคนหนึ่งแห่งวงการลูกหนังกระทิงดุนาทีนี้ พร้อมกันนี้ สโมสร บาเลนเซีย ได้มอบเสื้อหมายเลข 21 ให้กับดาวรุ่งรายนี้ เพื่อเป็นตัวแทนของ ฮวน ปาโบล ไอมาร์ อดีตดาวเตะชาวอาร์เจนตินา ขวัญใจแฟนบอลอีกด้วย
       
       โดย ซิลบา ฉายฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นสะดุดตามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในฤดูกาล 2006 ก็สามารถซัดประตูสำคัญให้ทีมในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับทีมอย่าง อินเตอร์ มิลาน และ เชลซี ได้อีก จากฟอร์มการลากเลื้อยอันร้อนแรง ส่งผลให้ หลุยส์ อราโกเนส กุนซือทีมชาติสเปน ตัดสินใจมอบตำแหน่งผู้เล่น 11 คนแรกให้กับดาวเตะรายนี้ไปลุยศึกยูโร 2008 ด้วย
       
        ซึ่งที่ผ่านมาปีกซ้ายวัย 22 ปีก็โชว์ฟอร์มได้สม่ำเสมอมาตั้งแต่เริ่มต้นทัวร์นาเมนท์ จนสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปต่างแสดงความสนใจคว้าตัวไปร่วมทีม โดยเฉพาะ ราฟาเอล เบนิเตซ นายใหญ่ของทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล และ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล แม้โอกาสย้ายทีมจะมีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเจ้าตัวมีสัญญาค้าแข้งกับต้นสังกัดยาวนานถึงปี 2014 เลยทีเดียว
       
       อีกทั้ง ซิลบา ยังคงไม่ต้องการตัดสินอนาคตการค้าแข้งในระหว่างนี้ เนื่องจากยังมีภาระกิจนำทัพกระทิงดุล่าฝันคว้าแชมป์ยูโร 2008 บนแผ่นดินออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์ต่อไป...

ประวัติ เซร์คิโอ"กุน"อเกวโร


ประวัติ เซร์คิโอ"กุน"อเกวโร

เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน . ชื่อ : Sergio Leonel “Kun” Ag?ero del Castillo เกิดวันที่ : June 2, 1988 สถานที่เกิด : Quilmes Argentinaส่วนสูง : 174 ซม. ตำแหน่ง : กองหน้าต้นสังกัดปัจจุบัน : แอต มาดริด เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน กองหน้าดาวรุ่งพุ่งแรงในปัจจุบันชาวอาร์เจนติน่ารายนี้ เริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกในอาร์เจนติน่ากับสโมสร Independiete ในลีกอาร์เจนติน่า ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2003 อาร์เจนติน่าต้องจารึกประวัติศาสตร์อีกครั้ง เมื่อ เอล กุนได้ลงเล่นในฐานนะนักเตะเป็นครั้งแรกด้วยวัย 15 ปี 35 วัน ลบสถิติเก่าของตำนานเบอร์ 1อย่าง ดีเอโก้ มาราดอนน่า ลงอย่างสิ้นเชิง ตลอดเวลาการค้าแข้ง 3 ปี ในลีกบ้านเกิดอเกรโร่ กุน ลงเล่นให้กับ ndependiete ไปทั้งหมด 53 นัดยิงได้ 23 ลูก จนก้าวขึ้นมาติดทีมชาติอารืเจนติน่าชุด U17 U20 และ U 23จุดเริ่มต้นและก้าวที่ยิ่งใหญ่ของ เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน ก็เกิดขึ้นในปี 2006 หลังจากที่ได้ลงเล่นในลีกบ้านเกิดจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาสโมสรยักษ์ใหญ่ต่างๆในลีกยุโรปแล้ว นักเตะหนุ่มน้อยรายนี้ก็ได้ย้ายออกจากบ้านเกิดมาค้าแข้งกับทีม ตราหมี แอต มาดริดวันที่ 29 พฤษภาคม 2006 แอต มาดริด เปิดตัว อเกวโร่ กุน ในฐานนะนักเตะคนใหม่ของทีม ใครจะไปเชื่อว่ากองหน้ารายนี้จะมีค่าตัวในการย้ายเข้ามายังถิ่น บิเซนเต้ กัลเดร่อนด้วยค่าตัว 20 ล้านปอด์นในวันที่ 13 ธันวาคม 2006 เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน ได้ลงมาสัมผัสเกมส์เป็นครั้งแรกหลังจากย้ายมาร่วมทีม โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 91 ในเกมส์ โคปา เดลเรย์ที่ลงเล่นกับ เลบานเต้ และต้องดวลกันถึงจุดโทษ และก็เป็น เอล กุน ที่เป็นคนยิงจุดโทษปิดท้ายให้ทีมชนะในไป 4-2 ในเกมส์นี้หลังจากนั้น เอล กุน ก็ได้ลงเล่นในเกมส์ลาลีกาที่ แอต มาดริด ต้องบุกไปเยือนถิ่นบาร์เซโลน่า โดยเกมส์นั้นผลจบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1 แต่ เอล กุน กลับมีชื่อผู้ทำประตูได้หลังจากที่ได้ลงเล่นในเกมส์ลีกเป็นครั้งแรกในปี 2007 การจากไปของยอดกัปตันทีมคนเก่ง เฟอร์นานโด ตอร์เรส ได้เปิดทางให้หัวหอกชาวอาร์เจนติน่ารายนี้ได้ลงเล่นอย่างเต็มตัว โดยได้ยืนเล่นกองหน้าเคียงคู่กับดีเอโก้ ฟอร์ลัน หัวหอกชาวอุรุกวัย แถมยังระเบิดฟอร์มเก่งออกมาด้วยการถล่มประตูคู่แข่งไปได้ทั้งหมด 20 ลูก แถมยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติของ Trofeo Alfredo Di Stefano ในฤดูกาล 2007-2008ที่ผ่านมาอเกวโร่ กุน ได้ถูกเรียกติดทีมชาติอาร์เจนติน่าชุด U20 ในการลงเล่นชิงแชมป์โลกกองหน้ารายนี้ก็ไม่ได้ทำให้กุนซือและเพื่อนร่วมทีมผิดหวังแม้แต่น้อยเลยทีเดียว ด้วยการนำทีมชาติอาร์เจนติน่า เถลิงบัลลังค์แชมป์โลกได้สำเร็จ รวมทั้ง การคว้ารางวัลรองเท้าทองคำในการแข่งขันในครั้งนั้นด้วย จากผลงานและฟอร์มการเล่นที่สุดยอดของกองหน้าชาวอาร์เจนติน่ารายนี้ ได้ส่งผลให้เจ้าตัวมีชื่อเข้าชิง รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า และยังสามารถคว้ารางวัลนี้มาครองได้สำเร็จทำให้ชื่อเสียงของ อเกวโร่ กุน ได้รับการจับตามองมากขึ้นในปี 2008 อเกวโร่ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ของตัวเองในนามทีมชาติอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาถูกเรียกตัวติดชุดทีมชาติลงเล่นในโอลิมปิกที่ปักกิ่งประเทศจีน ต้องบอกเลยว่าการถูกเรียกตัวไปติดครั้งนี้ทำให้หลายๆคนได้เห็นกองหน้าคู่หูที่อันตรายทีเดียวอเกวโร่ กุน ได้ลงเล่น โดยจับคู่กับ ลิโอเนล เมสซี่ ตลอดการแข่งขันจนพาทีมชาติก้าวขึ้นไปคว้าเหรียญทองมาคล้องคอได้สำเร็จ ผลงานในระดับนานาชาติ อเกวโร่ กุน ลงเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2006 โดยเกมส์นั้นเป็นการพบกันระหว่าง อาร์เจนติน่า และ บราซิล เตะกันในวันที่ 3 กันยายน 2006 ที่เอมิเรสต์ บ้านของปืนใหญ่อาร์เซน่อล และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้ามาสู่ทีมชาติชุดใหญ่ของกองหน้ารายนี้ ปัจจุบัน เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน ติดทีมชาติไปแล้วทั้งหมด 14 นัดและสามารถทำประตูในนามทีมชาติได้ 5 ประตู 

ประวัติของ อีเคร์ กาซียาส

ประวัติของ อีเคร์ กาซียาส
























กาซิลลาส
หนึ่งในจอมหนึบแถวหน้าของโลกคงต้องมีชื่อของ อีเคร์ กาซียาส นายทวารรูปหล่อของเรอัล มาดริด รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
กาซียาส ถือเป็นลูกหม้อของ "ราชันชุดขาว" มาตั้งแต่ต้น โดยเขาเริ่มเข้าสู่ทีมเยาวชนของเรอัล มาดริด ตั้งแต่ฤดูกาล 1990-01 และฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมเกินวัยก็ทำให้ถูกสตาฟฟ์โค้ชเรียกขึ้นมาสู่ทีมซีในฤดูกาล 1998-99 และใช้เวลาเพียงปีเดียวก็ก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กาซียาส ก็กลายเป็นตัวหลักในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาบิว มาตลอด และกลายเป็นผู้เล่นจอมเก๋าทั้งที่อายุยังน้อย และจากฟอร์มการเล่นที่ดีอย่างคงเส้นคงวาก็ทำให้เขาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ในทีมชาติสเปนด้วย ซึ่งผลงานที่ยอดเยี่ยมตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมาก็ทำให้เขากลายเป็นนายทวารที่มีค่าตัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว
จุดเด่นของ กาซียาส อยู่ที่ความเหนียวแน่น โดยเฉพาะการโชว์ซูเปอร์เซฟที่มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ นอกจากนั้น ยังมีความเป็นผู้นำสูงด้วย ซึ่งทำให้เขาได้สวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมชาติสเปน และเป็นรองกัปตันที่เรอัล มาดริด ต่อจาก ราอูล กอนซาเลซ หัวหอกจอมเก๋าที่อาวุโสที่สุดในทีมราชันชุดขาวด้วย
แฟนบอลของมาดริด ตั้งสมญานามให้ กาซียาส ว่า "the Bernabeu's spoiled child" หรือเป็นลูกรักของเบอร์นาบิว เพราะนอกจากจะมีช่วยไม่ให้ทีมเสียประตูหลายต่อหลายครั้งแล้ว เขายังแสดงให้เห็นว่ารักสโมสรมากเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจหลังพาทีมคว้าแชมป์ลา ลีก้า ฤดูกาล 2006-07 หลังจากที่ไม่มีถ้วยรางวัลใดๆ มาประดับตู้โชว์ถึง 3 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ร้างลาความสำเร็จนานที่สุดในรอบ 50 ปีเลยทีเดียว
ในส่วนของทีมชาตินั้น กาซียาส เป็นหนึ่งสมาชิกของทีมกระทิงดุในชุดที่คว้าแชมป์ยูฟ่า-คอนคาเคฟ เมอริเดียน และ ฟีฟ่า เวิลด์ ยูธ แชมเปี้ยนชิพ ในปี 1999 จากนั้นก็ได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับสวีเดน ในศึกยูโร 2000
ในยูโร 2008 กาซียาส ลงสนามในฐานะมือหนึ่งของทีม ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม(ลงไป 2 นัด) โดยเสียประตูเพียงแค่ 3 ลูกเท่านั้น น้อยที่สุดในกลุ่ม และ 1 แมทช์สำคัญที่กาซียาสเป็นฮีโร่ของสเปน นั่นก็คือ การชนะลูกโทษอิตาลีในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งอิตาลียิงได้แค่ 2 ลูกเท่านั้น ซึ่งตั้งแต่รอบตัดเชือกเข้ามา สเปนไม่เสียประตูเลย!!! คว้าแชมป์ยุโรปไปได้อย่างสวยงาม
ในปี 2009 สเปนมีคิวแข่ง ฟุตบอลคอนเฟดเดเรชั่น 2009 ซึ่งกาซียาส ยังคงได้รับการไว้วางใจให้เป็นมือหนึ่งของทีม และก็ทำผลงานได้ดี เมื่อสเปนเข้ารอบเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม ซึ่งไม่เสียประตูเลยเช่นเคย เข้ารอบมาเจอกับอเมริกา
เหตุการณ์ช็อคโลกเกิดขึ้น เมื่อสเปน เจอทีมซึ่งผ่านเข้ารอบมาอย่างหวุดหวิด ยิงชนะไปขนิดที่สเปนเอาคืนไม่ได้เลย 2-0!!! กาซิลยาส ซึ่งเสียหน้าในแมทช์นี้มาก การเสียถิติ cleansheet ติดต่อกันของเขาส่งผลให้ทีมพ่ายแพ้อย่างน่าเจ็บใจ
กาซิยาส
เกียรติยศกับเรอัล มาดริด
- ลา ลีก้า : 2000-01, 2002-03 and 2006-07, 2007/08
- สแปนิช ซูเปอร์คัพ : 2001, 2003, 2008
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 1999-00 and 2001-02
- ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ : 2002
- แชมป์สโมสรโลก : 2002
เกียรติยศกับทีมชาติสเปน- ยูฟ่า ยู-15 แชมเปี้ยนชิพ : 1995
- ยูฟ่า ยู-17 แชมเปี้ยนชิพ : 1997
- ยูฟ่า ซีเอเอฟ เมอริเดี้ยน : 1999
- ฟีฟ่า เวิลด์ ยูธ แชมเปี้ยนชิพ : 1999|
- ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ
รางวัลส่วนตัว
- บราโว่ อวอร์ด : 2000
- ดาวรุ่งยอดเยี่ยม: 1999-00
- ติดทีมยอดเยี่ยมประจำปีของยูฟ่า : 2007, 2008
- ติดทีมยอดเยี่ยมของ อีเอสเอ็ม : 2007-08
- ถ้วยรางวัล ซาโมรา : 2007-08
- ติดทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน ของ ESM : เมษยน-พฤษภาคม 2000, มกราคม 2001, พฤษภาคม 2002,  กุมภาพันธ์-มีนาคม 2004, ตุลาคม-ธันวาคม 2007, มกราคม 2008, เมษายน 2008
- ติดทีมประจำทัวร์นาเม้น ยูฟ่ายูโร 2008
- ติดสุดยอดทีมของฟีฟ่าโปร : 2007-08
- สุดยอดโกลคีพเพอร์ : 2008